แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 1ดาว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 1ดาว แสดงบทความทั้งหมด

20/12/2567

ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทน ต่อมาตกลงยอมความหย่ากัน จึงเรียกค่าทดแทนไม่ได้ แต่ยังเรียกค่าทดแทนจากชู้ได้

มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง การเรียกค่าทดแทนมีเงื่อนไขว่าต้องฟ้องหย่าและศาลพิพากษาให้หย่ากัน ส่วนมาตรา 1523 วรรคสอง สามารถเรียกค่าทดแทนได้โดยไม่มีเงื่อนไขต้องฟ้องหย่า

ภรรยาฟ้องหย่าสามี แต่ต่อมาตกลงหย่ากันโดยให้ภรรยาปกครองบุตร ต้องถือว่าภรรยากับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันในประเด็นหย่าและอำนาจปกครองบุตร ไม่ใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้หย่ากัน ภรรยาจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากสามี ตามมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง แต่ภรรยามีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตามมาตรา 1523 วรรคสอง เพราะไม่มีเงื่อนไขว่าต้องฟ้องหย่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2566

17/07/2567

ชำระหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารไม่ได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อเจ้าหนี้ เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทน

ลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของเจ้าหนี้ เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่เจ้าหนี้มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับเงินที่ชำระหนี้ โดยไม่ได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อเจ้าหนี้ ถือเป็นการชำระอย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2566

10/07/2567

ศาลสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ย่อมมีผลทำให้คดีเสร็จไปจากศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานับแต่โจทก์ถอนฟ้องและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าว อันเป็นคำสั่งที่เกิดขึ้นภายหลังมีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้าม และคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นที่สุด 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2483/2566

24/04/2567

ไม่ได้จดทะเบียนสมรสถือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม ฝ่ายหนึ่ง ทำหนังสือยกที่ดินให้อีกฝ่ายและบุตร ซึ่งอีกฝ่ายได้เข้าครอบครองแล้ว แม่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอน ก็เพียงแค่ไม่บริบูรณ์ แต่ติดตามข้อตกลงยังมีอยู่ จึงอยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทของตนได้อยู่ก่อน

สามีภรรยาอยู่ด้วยกันไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันมีบุตร 1 คน ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างนั้นถือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน มีสิทธิ์คนละครึ่ง 

สามีภรรยาร่วมกันกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อซื้อที่ดินและจดจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ 

ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 สามีและภรรยาตกลงแยกทางกัน โดยทำหนังสือตกลงระบุว่า สามีตกลงยกที่ดินพร้อมบ้านส่วนของสามีให้แก่ภรรยาเพื่อเป็นการตอบแทนในกรณีที่ภรรยาอุปการะเลี้ยงดูบุตรฝ่ายเดียว และทั้งสองมีคำมั่นว่าหลังจากชำระหนี้จำนองครบถ้วนแล้วจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านให้แก่บุตร ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทจึงเป็นของภรรยาและบุตร ซึ่งสามีไม่มีกรรมสิทธิ์รวมอีกต่อไป 

เมื่อภรรยาและบุตรเข้าครอบครองที่ดินพร้อมบ้านพิพาทตลอดมา แม้สามียังไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนของตนให้แก่ภรรยาและบุตร มีผลเพียงทำให้การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของภรรยาและบุตรยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรค 1 แต่สิทธิของภรรยาและบุตรตามหนังสือข้อตกลงยังคงมีอยู่ การที่ภรรยาและบุตรได้ครอบครองทรัพย์พิพาทโดย ภรรยาเป็นผู้ชำระหนี้จำนองผู้เดียวตลอดมา ถือได้ว่าภรรยาและบุตรเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่ผู้รบกวนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริต จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1300 

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะบังคับยึดที่ดินให้กระทบสิทธิของภรรยาและบุตรไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 322 ภรรยาและบุตรมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2566

28/03/2567

ภรรยาทำหนังสือรับรู้และยินยอมให้สามีทำสัญญาเช่าซื้อ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ไม่ใช่การหลบเลี่ยงการทำสัญญาค้ำประกัน แต่เป็นการให้สัตยาบันแก่หนี้ของคู่สมรส

ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำหนังสือให้ความยินยอม ในการที่จำเลยผู้เป็นสามีทำสัญญาเช่าซื้อ มีเนื้อความว่า รับรู้และยินยอมให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อ หากจำเลยผิดสัญญาหรือมีความรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ ยินยอมร่วมรับผิดกับจำเลยอย่างลูกนี้ร่วม หนังสือที่ภรรยาแสดงเจตนาต่อโจทก์มิได้เป็นสัญญายินยอมร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม อันเป็นการหลบเลี่ยงการทำสัญญาค้ำประกันที่มีข้อจำกัดไม่ให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681/1 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะตกเป็นโมฆะ แต่มีลักษณะเป็นการให้สัตยาบันแก่หนี้ที่จำเลยคู่สมรสของตนก่อขึ้น หนี้ของจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อถือเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภรรยาที่ภรรยาต้องร่วมรับผิดกับจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 (4 )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4001/2566

22/03/2567

ผู้ครอบครองปรปักษ์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี การร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและให้มีคำสั่งว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการร้องขัดทรัพย์ ใช้ปวิพ 323 ไม่ใช่การขอให้เพิกถอนการบังคับคดี ปวิพ 295

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอ้างว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว แม้ผู้ร้องยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้ปรากฏชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็ตาม เป็นกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในที่ดินพิพาทโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ที่ดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 (2)

ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เท่ากับอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของที่ดินทั้งผู้ร้องเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนในที่ดินพิพาทได้อยู่ก่อนในขณะมีการยึดที่ดินพิพาท ที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมีผลเป็นการขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 ไม่ใช่กรณีเป็นการใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอันเป็นการขอให้เพิกถอนการบังคับคดีตามมาตรา 295 วรรคสอง ผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทแล้วจึงพ้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 323 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3888/2566

19/03/2567

ผู้เยาว์สมรสตามประเพณีและแยกครอบครัวไปอยู่ด้วยกันแล้ว หาเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้พึ่งพาและเป็นภาระแก่บิดามารดา บิดามารดาใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วไม่ต้องรับผิดร่วมกับการกระทำละเมิดของผู้เยาว์

จำเลยทั้งสองเป็นบิดามารดาของ ม. ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองยินยอมให้ ม. บุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์ผู้เยาว์อายุ 17 ปีเศษ สมรสกับ ช. ตามประเพณีผูกข้อมือกับเงินสินสอดโดยไม่ได้ขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสเพื่อให้สามารถจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายได้ แต่เมื่อ ม. สมรสแล้วแยกครอบครัวไปอยู่กับภรรยาจนมีบุตรด้วยกันหาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำนาและรับจ้างไม่ได้พึ่งพาและเป็นภาระแก่จำเลยทั้งสอง ยากที่จะให้จำเลยทั้งสองใช้ความระมัดระวังควบคุมดูแลได้ตลอดเวลา การที่ ม. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองไม่อาจคาดหมายได้ว่า ม. จะกระทำเช่นนั้น จำเลยทั้งสองไม่มีโอกาสปฏิบัติเป็นอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ ถือว่าจะมีทั้งสองใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล ม. แล้ว จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดร่วมกับ ม. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3774/2566

23/02/2567

ลูกหนี้ผิดนัด แต่เจ้าหนี้ก็ได้คิดดอกเบี้ยผิดนัดและทวงผู้ค้ำเรื่อยมา แม้ว่าเจ้าหนี้จะรับชำระหนี้ ก็ยังถือว่าเจ้าหนี้ถือระยะเวลาตามสัญญาเป็นสำคัญ

จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในวันที่สิ้นสุดของเดือน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม

จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงไว้ในสัญญากู้ยืมในวันสิ้นสุดของเดือนมีนาคม 2561 จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561

โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของจำเลยที่ 1 ไปยังจำเลยที่ 2 ให้ทราบภายใน 60 วันนับแต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว หลังจากโจทก์บอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ก็ผิดนัดชำระหนี้เลื่อยมากับไม่ชำระให้ตรงตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา และโจทย์ก็คิดดอกเบี้ยผิดนัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 สลับกับการคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติ และโจทย์ก็มีหนังสือบอกกล่าวกันผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 เรื่อยมา หลังจากนั้นโจทย์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราผิดนัดมาตลอด บ่งชี้ว่าการที่โจทก์ยอมรับเงินที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระให้แก่โจทก์เรื่อยมารวมทั้งที่โจทก์รับชำระหนี้เงินกู้ครั้งสุดท้ายโดยหักจากบัญชีอัตโนมัติ ถือว่าโจทก์โต้แย้งสงวนสิทธิ์ของโจทก์ ที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยทั้งสองแล้ว พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยังคงถือเอากำหนดระยะเวลาการชำระเงินแต่ละงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นสาระสำคัญ โจทก์ย่อมใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมดทันทีโดยโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่ค้างภายในเวลาอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 อีก ไม่ถือว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 และโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัด ไปยังจำเลยที่ 2 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3603/2566

02/02/2567

ชำรุดบกพร่องเห็นเป็นประจักษ์ได้โดยง่าย ไม่ใช่การกระทำที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของผู้ประกอบธุรกิจภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้กล่าวอ้าง

ห้องชุดมีความชำรุดบกพร่องมีน้ำรั่วบนฝ้าเพดานไม่พร้อมส่งมอบและโอนให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นเป็นประจักษ์ได้โดยง่าย โจทก์ตรวจสอบได้ไม่ใช่การกระทำใดๆที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของจำเลยผู้ประกอบธุรกิจ ภาระการพิสูจน์ไม่ตกแก่จำเลย ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ 2551 มาตรา 29 โจทก์กล่าวอ้างว่าห้องชุดพิพาทมีความชำรุดบกพร่อง จำเลยให้การปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2565

15/01/2567

สถานที่เกิดเหตุละเมิดก็เป็นสถานที่มูลคดีเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยเกิดอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากที่ทำสัญญาประกันภัย

โจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาประกันภัยต่อโจทก์โดยไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ 2535 มาตรา 20 เป็นการฟ้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยให้รับผิดตามสัญญาประกันภัย ไม่ใช่กรณีโจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้ตายมาฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิด สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้อง สถานที่ทำสัญญาประกันภัยและออกกรมธรรม์ประกันภัยเป็นสถานที่มูลคดีเกิด 
และความรับผิดของจำเลยตามสัญญาประกันภัย เกิดขึ้นต่อเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัยจากรถ เหตุแห่งวินาศภัยอันเกิดจากรถเป็นมูลก่อให้เกิดความรับผิดของจำเลยตามสัญญาประกันภัย สถานที่เกิดเหตุวินาศภัยอันเป็นมูลละเมิดเป็นสถานที่มูลคดีเกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาประกันภัยเกิดอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากสถานที่ทำสัญญาประกันภัย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3412/2565

10/01/2567

ใบถอนเงินฝากมีเพียงลายมือชื่อปลอมยังไม่ได้กรอก จำนวนเงิน ยังไม่ถือเป็นเอกสารสิทธิ ผิดปลอมเอกสารธรรมดา

ใบถอนเงินฝากและใบมอบฉันทะ มีเพียงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหาย ยังไม่ได้กรอกจำนวนเงินที่ขอถอน ใบมอบฉันทะ ยังไม่ได้กรอกข้อความว่ามอบฉันทะให้ใคร เป็นเอกสารที่ข้อความยังไม่สมบูรณ์มิใช่เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ถือไม่ได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิ ไม่เป็นความผิดฐานพร้อมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม เป็นเพียงความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5089/2565

02/11/2566

เชื่อคำหลอกว่าจะเอาเงินไปให้กู้ยืมโดยการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ไม่ใช่ผู้เสียหายฐานฉ้อโกง

โจทก์อ้างว่าหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยโดยมอบเงินให้จำเลยไปให้ชาวบ้านกู้ยืมด้วยการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมายกำหนด แสดงว่าโจทก์มีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้การกระทำที่ผิดกฎหมายนั้นไม่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นเพียงการหลอกลวงเพื่อฉ้อโกงโจทก์หรือไม่ก็ตาม ถือว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2565

19/10/2566

บันไดแคบแล้วเดินเบียดคนอื่นจนล้มกระแทกได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการกระทำโดยประมาท

จำเลยเดินขึ้นบันไดแคบประมาณ 1 เมตร เบียดไปถูกตัวโจทก์ซึ่งเป็นหญิงอายุ 68 ปีเสียหลักล้มกระแทกขอบบันไดและราวบันไดได้รับอันตรายแก่กายโดยมิได้มีเจตนาจะผลักทำร้าย ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กาย ตามปอ ม. 59 วรรค 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2565

04/10/2566

ทำพินัยกรรมยกที่ดินสินสมรสให้น้องตามธรรมจรรยาสมควรแก่ฐานานุรูป เข้าข้อยกเว้น 1476 (5)

สามีทำพินัยกรรมยกที่ดินที่เป็นสินสมรสให้น้องซึ่งมีที่ดินเปลี่ยนแปลงที่เนื้อที่น้อยที่สุดราคาไม่สูง ยังเหลือที่ดินอื่นที่ทายาทสามารถนำมาแบ่งปันได้ โดยคิดรอบคอบเป็นธรรมไม่ทำให้บุตรต้องเดือดร้อนน้อยเนื้อต่ำใจและอยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือตามควรแก่น้อง เป็นการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาพอควรแก่ฐานานุรูปเข้าข้อยกเว้น ปพพ 1476 (5) ภรรยาไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2565

ได้ภาระจำยอมตามกฎหมายจัดสรรที่ดิน ก็สามารถฟ้องขอให้จดทะเบียนทางภาระจำยอมได้ ได้ทางเป็นภาระจำยอมแล้วแม้โอนต่อไปก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมสิ้นไป

อ. แบ่งแยกที่ดินแปลงย่อยแล้วจัดให้ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่สาธารณะ เข้าหลักเกณฑ์จัดสรรที่ดินตามประกาศคณะปฏิวัติ แม้ที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่สาธารณะ แต่เป็นที่ดินที่จัดสรร ทางพิพาทย่อมเป็นสาธารณูปโภคตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่จัดสรรโดยไม่จำต้องจดทะเบียน เป็นไปตามประกาศคณะปฏิวัติ ไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับ การได้มาซึ่งภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ 

จำเลยรับโอนที่ดินที่จัดสรร รวมทั้งทางพิพาท เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องรักษาสาธารณูปโภคคือทางพิพาทซึ่งตกอยู่ในภาระจำยอมให้คงสภาพตลอดไป โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินสืบทอดจากการจัดสรรที่ดิน มีสิทธิใช้ทางพิพาทและชอบที่จะฟ้องให้จำเลยจดทะเบียนทางพิพาทให้เป็นภาระจำยอม เพราะเป็นการกระทำอันจำเป็นเพื่อรักษาสิทธิและใช้ภาระจำยอม ตามปพพ 1391 วรรค 1  

อ. ประสงค์จะใช้ทางพิพาทเพื่อเข้าออกบ้านของตนที่ปลูกบนที่ดินที่ไม่ได้จัดสรรตั้งแต่แรก แม้ อ. จะไม่ได้รับประโยชน์เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะตามประกาศคณะปฏิวัติ แต่จำเลยยอมรับและซื้อที่ดินที่จัดสรรจาก อ. เพื่อพัฒนาสร้างตึกแถวโดยจำเลยไม่ได้ขัดขวางการใช้ทางพิพาทของ อ. เป็นเวลากว่า 10 ปีติดต่อกันโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอม ทางพิพาทย่อมตกอยู่ในภาระจำยอมตามปพพ 1401 ประกอบ 1382 แม้ต่อมา อ. จดทะเบียนโอนชำระหนี้แก่ธนาคารหรือต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดก็ไม่มีผลให้ภาระจำยอมสิ้นไปแต่ยังคงติดไปกับที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ซึ่งได้จำหน่ายแก่โจทก์ตามปพพ 1393 วรรค 1 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2565

02/10/2566

ปลูกบ้านในที่ดิน สปก. โดยไม่ได้รับอนุญาต บ้านเป็นส่วนควบกับที่ดินและตกเป็นของรัฐ แต่ก็ยังมีสิทธิครอบครองฟ้องขับไล่ออกจากบ้านได้

ก. ปลูกบ้านและจำเลยอาศัยในบ้านโดยอาศัยสิทธิ ก. แต่ ก. ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน สปก. เท่ากับ ก. ปลูกบ้านในที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิครอบครอง บ้านถือเป็นส่วนควบกับที่ดินและตกเป็นของรัฐ ก. ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านและที่ดินให้โจทก์ 

แต่ข้อความในพินัยกรรมเป็นการแสดงเจตนาของ ก. ที่ให้โจทก์มีสิทธิครอบครองบ้านและที่ดินต่อจากตน เมื่อโจทก์เข้าครอบครองจึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยอาศัยในบ้านและที่ดินโดยอาศัยสิทธิของ ก. และโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1409/2565

26/09/2566

การเป็นผู้ถือหุ้นเป็นสถานะเฉพาะตัว มอบอำนาจให้ผู้อื่นเป็นแทนไม่ได้ แต่มอบให้ผู้อื่นเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทนได้

ข้อบังคับบริษัทบอกว่าถ้าไม่มีตัวประธาน ให้ที่ประชุมเลือกตั้งผู้ถือหุ้นคนหนึ่งซึ่งได้เข้าร่วมประชุมขึ้นเป็นประธาน แต่ผู้รับมอบฉันทะได้รับเลือกให้เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น เป็นแต่เพียงผู้ได้รับมอบฉันทะจากผู้ถือหุ้นให้เข้าร่วมประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทน ผู้รับมอบฉันทะจึงมีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงลงคะแนนตามที่รับมอบฉันทะเท่านั้น การมอบฉันทะ ไม่ทำให้มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น เพราะการเป็นผู้ถือหุ้นเป็นสถานะเฉพาะตัว การประชุมและลงมติจึงไม่ชอบต้องเพิกถอนการประชุมและมติในการประชุมครั้งนั้น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2565

25/09/2566

ไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคลมอบอำนาจช่วงไม่ต้องประทับตราบริษัทก็ได้

ผู้รับมอบอำนาจไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคล มอบอำนาจช่วง โดยไม่ประทับตราบริษัท และหนังสือมอบอำนาจก็ไม่ได้บอกว่าการมอบอำนาจช่วงต้องประทับตราบริษัท การมอบอำนาจช่วงโดยไม่ประทับตราบริษัทจึงชอบด้วยกฎหมาย 

ฎีกาที่ 3477/2565