คดีอาญาไม่ต้องขออนุญาตฎีกา แต่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 และมาตรา 221 โดยผู้ฎีกาต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลที่พิจารณาคดีนี้และศาลฎีกาอนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาตามมาตรา 221 รับรองให้ฎีกา คำร้องขออนุญาตฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นพิจารณาได้ตามมาตรา 195 วรรค 2 ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ แต่คดีนี้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในคดีโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดยังไม่เหมาะสมแก่รูปคดี ศาลฎีกามีอำนาจเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในการลงโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2270/2566