แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปวิพ225 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปวิพ225 แสดงบทความทั้งหมด

19/04/2567

ตัวแทนเชิดไปจดทะเบียนนิติกรรม ไม่จำเป็นต้องฟ้องตัวการ

จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนาง ก. ซึ่งเป็นพี่สาวของโจทก์ 

โจทก์ขอกู้ยืมเงินนาง ก. แต่โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 

ต่อมา จำเลยที่ 1 เอาที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของบริษัทตน 

คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดิน และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของนาง ก. ในการทำสัญญากู้ยืมเงิน และสัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ การซื้อขายที่ดินเป็นการอำพรางการกู้ยืมเงินจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 วรรคหนึ่ง 

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงิน เพิกถอนสัญญาซื้อขาย และขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดิน คำขออื่นให้ยก 

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนของนาง ก. เพราะจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของนาง ก. ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง นอกคำให้การและไม่ใช่ข้อที่ได้ยกว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง

จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของนาง ก. โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องฟ้องให้นาง ก. รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 เพราะหากโจทก์ชนะคดีก็คงมีผลเป็นการเพิกถอนการจดทะเบียนสำหรับนิติกรรมเท่านั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทน ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

สัญญากู้ยืมเงินระบุว่า เพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ผู้กู้ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้กู้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ยึดถือไว้เป็นประกันจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระเงินเสร็จสิ้น  ถือได้ว่าโจทก์ได้มอบที่ดินพิพาทให้นาง ก. ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้กู้ยืมเงิน แต่เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อน แต่สัญญาจำนองยังมีผลผูกพันโจทก์และใช้บังคับได้ตามกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และนาง ก. นำที่ดินไปแสวงหาประโยชน์มากเกินกว่าที่จะพึงยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้ของโจทก์โดยสุจริต เมื่อฟังได้ว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพราง การกู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะมาอ้างยึดถือนิติกรรมซื้อขายที่ดิน ว่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปตามข้อตกลงตามสัญญากู้ยืมเงินได้อีก การพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินจึงชอบแล้ว 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2566