แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปพพ686 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปพพ686 แสดงบทความทั้งหมด

10/04/2567

ผู้ค้ำประกันเป็นกรรมการบริษัท แม้บอกกล่าวบริษัทและบริษัทผิดนัดแล้ว แต่ยังไม่บอกกล่าวผู้ค้ำประกัน ก็ไม่มีอำนาจฟ้องกรรมการผู้ค้ำประกัน

โจทก์เป็นธนาคาร จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท 

สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไม่มีกำหนดเวลา เป็นหนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ การหักทอนบัญชีทุกเดือนเพื่อทราบว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นใครเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กันอย่างไรไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้กรณีสัญญาสิ้นสุด

การที่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีอีกต่อไป และทำการหักทอนหนี้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่มีการเบิกถอนเงินจากบัญชีเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 มียอดหนี้ต้นเงินค้างชำระแก่โจทก์เกินบัญชีแล้ว  ถือได้ว่าการเดินสะพัดทางบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ได้สิ้นสุดเลิกกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ได้โดยพลันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 203

การเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยไม่มีกำหนดเวลา เกิดจากโจทก์หักทอนบัญชีแล้วไม่ให้จำเลยที่ 1 กู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก ไม่ใช่การเลิกสัญญาตามกำหนดเวลาสิ้นสุดที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่มีผลทำให้จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ผิดนัด โจทก์ต้องบอกกล่าวแจ้งเตือนจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ แต่โจทก์ไม่ได้กระทำ  จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ตกเป็นลูกหนี้ผิดนัดโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราผิดนัด

จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันแม้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นแต่โจทก์มีหนังสือทวงถามไปถึงจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก่อนที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด และหลังจากที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว โจทก์ไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 686 วรรคหนึ่ง โจทย์ยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2106/2566 ประชุมใหญ่

23/02/2567

ลูกหนี้ผิดนัด แต่เจ้าหนี้ก็ได้คิดดอกเบี้ยผิดนัดและทวงผู้ค้ำเรื่อยมา แม้ว่าเจ้าหนี้จะรับชำระหนี้ ก็ยังถือว่าเจ้าหนี้ถือระยะเวลาตามสัญญาเป็นสำคัญ

จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในวันที่สิ้นสุดของเดือน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม

จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงไว้ในสัญญากู้ยืมในวันสิ้นสุดของเดือนมีนาคม 2561 จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561

โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของจำเลยที่ 1 ไปยังจำเลยที่ 2 ให้ทราบภายใน 60 วันนับแต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว หลังจากโจทก์บอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ก็ผิดนัดชำระหนี้เลื่อยมากับไม่ชำระให้ตรงตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา และโจทย์ก็คิดดอกเบี้ยผิดนัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 สลับกับการคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติ และโจทย์ก็มีหนังสือบอกกล่าวกันผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 เรื่อยมา หลังจากนั้นโจทย์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราผิดนัดมาตลอด บ่งชี้ว่าการที่โจทก์ยอมรับเงินที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระให้แก่โจทก์เรื่อยมารวมทั้งที่โจทก์รับชำระหนี้เงินกู้ครั้งสุดท้ายโดยหักจากบัญชีอัตโนมัติ ถือว่าโจทก์โต้แย้งสงวนสิทธิ์ของโจทก์ ที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยทั้งสองแล้ว พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยังคงถือเอากำหนดระยะเวลาการชำระเงินแต่ละงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นสาระสำคัญ โจทก์ย่อมใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมดทันทีโดยโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่ค้างภายในเวลาอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 อีก ไม่ถือว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 และโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัด ไปยังจำเลยที่ 2 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3603/2566