แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปพพ150 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปพพ150 แสดงบทความทั้งหมด

22/11/2567

ค่าจ้างว่าความของทนายที่มีจำนวนแน่นอน ไม่ได้คำนึงถึงผลของคดี ไม่เป็นข้อตกลงแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์ที่เป็นมูลหนี้พิพาท หรือเป็นข้อตกลงที่ให้ทนายเข้าไปมีส่วนได้เสีย โดยตรงในผลของคดี ไม่เป็นโมฆะ อายุความ 2 ปี เริ่มนับแต่ ผู้ว่าจ้างไปรับมอบการงานที่ทำ

จำเลยจ้างโจทก์เป็นทนาย มีข้อตกลงชำระค่าว่าจ้างเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 10,000 บาทให้โจทก์ฟ้องร้องจนกว่าคดีถึงที่สุด ส่วนที่ 2 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยชนะคดีและได้รับเงิน จำเลยตกลงชำระเงินในชั้นบังคับคดีแก่โจทก์อัตราร้อยละ 10 ของทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ข้อตกลงทั้ง 2 ส่วนเป็นการกำหนดจำนวนค่าจ้างไว้เป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้คำนึงถึงผลของคดี แม้ค่าจ้างในส่วนที่ 2 เป็นการคำนวณค่าจ้างให้คิดเป็นจำนวนร้อยละของทุนทรัพย์ที่ฟ้องก็เป็นจำนวนแน่นอน โดยโจทก์ไม่สามารถกำหนดค่าเสียหายในการฟ้องร้องได้ตามอำเภอใจ ข้อตกลงทั้งสองส่วนไม่เป็นข้อตกลงแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์ที่เป็นมูลพิพาทที่ลูกความจะได้รับเมื่อชนะคดี ไม่มีลักษณะเป็นข้อตกลงให้ทนายเข้าไปมีส่วนได้เสียในทางการเงินโดยตรงในผลของคดีที่ว่าความ สัญญาจ้างว่าความจึงไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ 2528 และข้อบังคับของสภาทนายความ และไม่ใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีที่จะตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150

สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34 (16)  ซึ่งมาตรา 602 วรรค 1 บัญญัติให้สินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ จึงต้องถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความถึงกำหนดเมื่อจำเลยได้รับมอบงานการที่ทำแล้ว

สิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างของโจทก์ซึ่งเป็นทนาย ในส่วนที่ 1 ย่อมเกิดขึ้นทันทีนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา แต่สิทธิเรียกร้องค่าจ้างว่าความในส่วนที่ 2 เริ่มนับแต่วันที่ จำเลยได้รับชำระเงินครบถ้วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3599/2566

09/08/2567

สหกรณ์จัดสรรที่ดิน ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดิน

สหกรณ์บริการไม่ตกอยู่ในบังคับที่ไม่ให้นำพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดินมาใช้บังคับ การนำที่ดินออกจัดสรรแบ่งขายให้สมาชิกโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดสรรจึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน แต่การแบ่งแยกจัดสรรที่ดินออกจำหน่ายต้องทำตามหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน 

เมื่อขณะทำสัญญาเช่าซื้อ สหกรณ์โจทก์และสมาชิกจำเลย ต่างไม่ทราบว่าต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินก่อน และก็ไม่ทราบว่าสหกรณ์โจทก์อยู่ในบังคับที่ต้องขออนุญาตจัดสรรที่ดิน อย่างไรก็ตาม กฎหมายไม่ได้มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งว่าหากไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินแล้วจะไม่สามารถขออนุญาตจัดสรรที่ดินในภายหลังได้ แม้โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน ก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะ และวัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็ไม่ตกเป็นโมฆะ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2566

09/04/2567

ข้อสัญญาให้ดอกเบี้ยตามจำนวนเงินที่กู้ ไม่ใช่ข้อสัญญากำหนดค่าเสียหายอันเป็นเบี้ยปรับ ดอกเป็นโมฆะต้องนำไปหักต้นเงินเจ้าหนี้ลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้

ข้อสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ให้ดอกเบี้ยตามจำนวนเงินที่กู้แก่ผู้ให้กู้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ข้อสัญญากำหนดค่าเสียหายอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ

ข้อตกลงเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ตกเป็นโมฆะ ลูกหนี้ไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยด้วย ต้องนำดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ไปหักต้นเงิน แต่เจ้าหนี้ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1883/2566

26/01/2567

หนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงทำสัญญาค้ำประกัน

หนังสือรับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ระหว่างธนาคารโจทก์เจ้าหนี้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ทำขึ้นด้วยใจสมัครและตรงตามเจตนาของโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทั้งไม่ได้มีวัตถุประสงค์อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำสัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 ซึ่งมีบทบัญญัติว่า ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 681/1 วรรค 1 อันจะถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 

การตกลงชำระหนี้แทนลูกหนี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับการค้ำประกันลูกหนี้ต่อเจ้าหนี้มีลักษณะเป็นการยอมผูกพันตนในการชำระหนี้เพื่อผู้อื่นเช่นเดียวกัน การจะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของนิติกรรมทั้ง 2 ประเภทนั้น นอกจาก ต้องพิจารณาถึงสิทธิและหน้าที่ที่แตกต่างกัน ยังต้องพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาเป็นสำคัญ 

ตามหนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้ระบุถึงเหตุผลของการเข้ารับชำระหนี้แทนไว้ประการหนึ่งว่า เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นในทันทีได้ การยอมตนเข้าผูกพันเพื่อชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงกระทำโดยผู้มีส่วนได้เสียและเพื่อให้เป็นที่มั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติตามข้อตกลงให้ลุล่วงไปโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับตามวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นอกจากนี้ตามหนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้ยังกำหนดระยะเวลาและจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งแตกต่างจากความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 ที่บัญญัติให้ต้องชำระหนี้ ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ จึงแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์กับจำเลยที่สองว่าประสงค์จะผูกพันตามเนื้อความในหนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้มากกว่าที่จะให้จำเลยที่ 2 ผูกพันตนในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1884/2566

หมายเหตุ ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8418/2563 ประกอบ ยังขัดกันอยู่