แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2ดาว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2ดาว แสดงบทความทั้งหมด

04/07/2567

แม้ภาระจำยอมระงับเพราะไม่ได้ใช้เกิน 10 ปี แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอม จะยกต่อสู้คนนอกผู้ซื้อโดยสุจริตและจดทะเบียนสุจริตไม่ได้

โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซื้อมาจากธนาคารจากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินได้จดทะเบียนนิติกรรมให้ที่ดินของจำเลยตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอม 

แม้ทางภาระจำยอมไม่มีการใช้ประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ยังไม่ได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอมนั้น จำเลยจะยกเอาการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ 

เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินในขณะที่ยังไม่ได้มีการจดทะเบียนระงับภาระจำยอม โจทก์ย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าภาระจำยอมยังคงอยู่ เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จำเลยจะยกข้อต่อสู้เรื่องการระงับแห่งภาระจำยอมอ้างตอบโจทก์ไม่ได้ จำเลยต้องรื้อถอนรั้วเหล็กออกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2413/2566 (ประชุมใหญ่)

19/04/2567

ตัวแทนเชิดไปจดทะเบียนนิติกรรม ไม่จำเป็นต้องฟ้องตัวการ

จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนาง ก. ซึ่งเป็นพี่สาวของโจทก์ 

โจทก์ขอกู้ยืมเงินนาง ก. แต่โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 

ต่อมา จำเลยที่ 1 เอาที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของบริษัทตน 

คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดิน และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของนาง ก. ในการทำสัญญากู้ยืมเงิน และสัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ การซื้อขายที่ดินเป็นการอำพรางการกู้ยืมเงินจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 วรรคหนึ่ง 

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงิน เพิกถอนสัญญาซื้อขาย และขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดิน คำขออื่นให้ยก 

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนของนาง ก. เพราะจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของนาง ก. ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง นอกคำให้การและไม่ใช่ข้อที่ได้ยกว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง

จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของนาง ก. โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องฟ้องให้นาง ก. รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 เพราะหากโจทก์ชนะคดีก็คงมีผลเป็นการเพิกถอนการจดทะเบียนสำหรับนิติกรรมเท่านั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทน ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

สัญญากู้ยืมเงินระบุว่า เพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ผู้กู้ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้กู้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ยึดถือไว้เป็นประกันจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระเงินเสร็จสิ้น  ถือได้ว่าโจทก์ได้มอบที่ดินพิพาทให้นาง ก. ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้กู้ยืมเงิน แต่เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อน แต่สัญญาจำนองยังมีผลผูกพันโจทก์และใช้บังคับได้ตามกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และนาง ก. นำที่ดินไปแสวงหาประโยชน์มากเกินกว่าที่จะพึงยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้ของโจทก์โดยสุจริต เมื่อฟังได้ว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพราง การกู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะมาอ้างยึดถือนิติกรรมซื้อขายที่ดิน ว่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปตามข้อตกลงตามสัญญากู้ยืมเงินได้อีก การพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินจึงชอบแล้ว 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2566

22/02/2567

โจทก์ฟ้องและมีคำขอโดยใช้สิทธิเจ้าหนี้สามัญและเจ้าหนี้จำนอง ศาลจะพิพากษาให้บังคับชำระหนี้โดยบังคับจากทรัพย์จำนองก่อนไม่ได้

โจทก์เป็นธนาคาร จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 2 

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์ มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินเป็นประกัน โดยตกลงว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยินยอมชดใช้หนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน

โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญและเป็นเจ้าหนี้จำนองผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองด้วย ฉันจอดมีคำขอท้ายฟ้องว่าหากจำเลยทั้ง 3 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนอันเป็นการฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องตามสิทธิที่จะมีอยู่

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันชำระเงิน พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้ง 3 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน ซึ่งเป็นการกำหนดขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้ โดยให้โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในการบังคับชำระหนี้น้อยกว่าสิทธิที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้ง 3 ไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2566 ประชุมใหญ่

14/02/2567

จำเลยร่วมต้องชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยคนหนึ่งอุทธรณ์อีกคนไม่อุทธรณ์ ระยะเวลาบังคับคดีนับแต่มีคำพิพากษาของแต่ละคน

ระยะเวลาบังคับคดีภายใน 10 ปีต้องเริ่มแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุดในคดีนั้น และการบังคับคดีเป็นศิษย์ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ที่จะบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษารายใดและเป็นเรื่องเฉพาะตัวลูกหนี้ตามคำพิพากษาแต่ละราย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ซึ่งเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ 

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษากลับอันจะมีผลถึงจำเลยที่ 2 ได้ และศาลฎีกาไม่รับพิจารณา 

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ได้อุทธรณ์

สิทธิบังคับคดีในส่วนจำเลยที่ 2 เริ่มตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่ใช่วันที่ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2566 (ประชุมใหญ่)

17/10/2566

ข้อมูลบัญชีเงินฝาก รหัสผู้ใช้และรหัสผ่าน ในการทำธุรกรรมบนโปรแกรมทางอินเตอร์เน็ตเป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์

โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารและขอใช้การทำธุรกรรมบนโปรแกรมทางอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะใช้ผ่านคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรืออุปกรณ์อื่นใด  ธนาคารให้รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านแก่โจทก์สามารถใช้ข้อมูลบัญชีเงินฝาก รหัสผู้ใช้ และรหัสผ่านบนโปรแกรมในการชำระค่าสินค้าค่าบริการ ชำระหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด ใช้โอนเงินจากบัญชีเงินฝากไปยังบัญชีเงินฝากของบุคคลอื่น ใช้ในการเบิกถอนเงินสดหรือใช้ภายในธุรกรรมอย่างอื่น ถือว่าการใช้ข้อมูลบัญชีเงินฝาก รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านในการทำธุรกรรมบนโปรแกรมทางอินเตอร์เน็ต เป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามความหมายของบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปอ ม. 1 (14) (ข) 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1184-1187/2565

16/10/2566

ป้ายไวนิลก็เป็นเอกสาร การปลดป้ายไปผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น

โจทก์เป็นเจ้าของบ้านและเป็นสมาชิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรติดตั้งป้ายไวนิลเพื่อประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกหมู่บ้านทราบและร่วมการตรวจสอบความผิดปกติทางการเงินของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร จำเลยปลดป้ายไวนิลไปเก็บไว้ที่สำนักงานนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรทำให้โจทก์เสียโอกาสในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนสมาชิกของหมู่บ้านที่ได้แจ้งต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการนิติบุคคล เป็นการกระทำในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามปอ 188 

คำว่า "เอาไปเสีย" ตามปอ 188 ไม่ได้มุ่งถึงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในการเป็นเจ้าของวัตถุที่ทำให้ปรากฏความหมายเป็นเอกสาร และไม่ได้กำหนดลักษณะเฉพาะของเอกสารว่าต้องเป็นเอกสารที่เป็นพยานหลักฐานทำนองเดียวกับพินัยกรรมเท่านั้น เมื่อป้ายไวนิลเป็นวัตถุซึ่งทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรจึงเข้าลักษณะเป็นเอกสาร 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3356/2565

ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ปัญหาสำคัญต้องพิจารณาว่าเป็นเอกสารของใคร ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่ามูลหนี้ตามเอกสารบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่

จำเลยนำเช็ครวม 26 ฉบับ ไปเสนอขายรถเช็คให้แก่โจทก์ โจทก์รับซื้อเช็คดังกล่าวและโอนเงินค่าซื้อเช็คให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับแรกได้ แต่เมื่อถึงกำหนดเรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับที่ 2 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าเจ้าของเช็คเสียชีวิตให้โจทก์นำเช็คทั้งหมดมาคืนจำเลย แล้วจำเลยนำเช็คไปให้ทายาทเพื่อแลกเป็นเงินสดนำมาให้แก่โจทก์ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ตามความเป็นจริงแต่เป็นแผนการที่จำเลยกำหนดขึ้นโดยอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจของโจทก์ที่ค้าขายกันมานาน ทำให้โจท์หลงเชื่อมอบเช็ค รวม 25 ฉบับให้แก่จำเลย อันเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดเอกสารที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตามปอ 188 ฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ซึ่งเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2565

ความผิดฐานเจ้าพนักงานรับสินบน เจ้าพนักงานต้องกระทำการตามหน้าที่โดยชอบแล้ว

การที่จะเป็นความผิดตามปอ 149 ความผิดฐานเจ้าพนักงานรับสินบนจะต้องได้ความว่าเจ้าพนักงานจับกุมโดยชอบ กล่าวคือ จับกุมขณะกำลังเล่นการพนันแล้วหลังจากนั้นจึงเรียกรับเงินเพื่อที่จะไม่ดำเนินคดี แต่เมื่อเป็นการจับกุมโดยมิชอบแม้จะมีการเรียกรับเงินก็ไม่เป็นความผิดตามปอ 149 คงเป็นความผิดตามปอ 148 ความผิดฐานเจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4789/2565


06/10/2566

มีชื่อเป็นบุตรทั้งที่ไม่ใช่บุตรก็เป็นการโต้แย้งสิทธิผู้ที่เป็นบุตรแล้ว

โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายซึ่งบิดารับรองแล้ว จึงเป็นทายาทลำดับที่ 1 ตามมาตรา 1629 (1) โจทก์เคยบอกให้จำเลยไปจดแจ้งต่อนายทะเบียนว่าไม่ใช่บุตรของบิดาตน แต่จำเลยเพิกเฉย ตราบใด ที่ยังปรากฏชื่อจำเลยในสูติบัตรหรือในเอกสารราชการย่อมกระทบสิทธิและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง

กรณีไม่อาจนำอายุความขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรตามปพพ 1554 มาใช้บังคับได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2565

26/09/2566

ปลูกต้นไม้ในที่ดินของผู้อื่น แม้เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของต้นไม้ตามหลักส่วนควบแต่ก็ต้องใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นให้คนปลูกต้นไม้

ปลูกต้นสักในที่วัดโดยสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 10 ปีโดยเข้าใจสุจริตว่าเป็นที่ดินของตนเอง จึงเป็นการเพาะปลูกต้นไม้ในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ตามปพพ 1314 วรรค 1 และปพพ 1310 วรรค 1 แม้วัดเป็นเจ้าของที่และเป็นเจ้าของต้นสักตามหลักส่วนควบก็ต้องใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นตาม 1310 วรรค 1 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2565

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่คนนอกตามปพพ 806

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีนิติสัมพันธ์ใดนอกจากสิทธิบังคับคดี จึงไม่ใช่คนนอกที่ ขวนขวาย ได้สิทธิมาก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อ จึงไม่อาจยึดที่ดินของตัวการที่ตัวแทนยึดถือแทนได้ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามปพพ 806

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2565