23/02/2567

ลูกหนี้ผิดนัด แต่เจ้าหนี้ก็ได้คิดดอกเบี้ยผิดนัดและทวงผู้ค้ำเรื่อยมา แม้ว่าเจ้าหนี้จะรับชำระหนี้ ก็ยังถือว่าเจ้าหนี้ถือระยะเวลาตามสัญญาเป็นสำคัญ

จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในวันที่สิ้นสุดของเดือน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม

จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงไว้ในสัญญากู้ยืมในวันสิ้นสุดของเดือนมีนาคม 2561 จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2561

โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของจำเลยที่ 1 ไปยังจำเลยที่ 2 ให้ทราบภายใน 60 วันนับแต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว หลังจากโจทก์บอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ก็ผิดนัดชำระหนี้เลื่อยมากับไม่ชำระให้ตรงตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา และโจทย์ก็คิดดอกเบี้ยผิดนัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 สลับกับการคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติ และโจทย์ก็มีหนังสือบอกกล่าวกันผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 เรื่อยมา หลังจากนั้นโจทย์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราผิดนัดมาตลอด บ่งชี้ว่าการที่โจทก์ยอมรับเงินที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระให้แก่โจทก์เรื่อยมารวมทั้งที่โจทก์รับชำระหนี้เงินกู้ครั้งสุดท้ายโดยหักจากบัญชีอัตโนมัติ ถือว่าโจทก์โต้แย้งสงวนสิทธิ์ของโจทก์ ที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยทั้งสองแล้ว พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยังคงถือเอากำหนดระยะเวลาการชำระเงินแต่ละงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นสาระสำคัญ โจทก์ย่อมใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมดทันทีโดยโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่ค้างภายในเวลาอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 อีก ไม่ถือว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 และโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัด ไปยังจำเลยที่ 2 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3603/2566

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น