แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปพพ155 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปพพ155 แสดงบทความทั้งหมด

29/11/2567

รู้เห็นว่าที่ดินพิพาทมีปัญหา เคยได้รับการเตือนแล้ว แต่ยังไปทำนิติกรรมกันอยู่ จึงไม่ใช่คนนอกผู้ทำการโดยสุจริตต้องเสียหายจากเจตนาลวง

จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายเอกเพื่อช่วยเหลือนายเอให้นำที่ดิน พร้อมบ้าน ไปจำนองแก่ธนาคาร โดยไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง การทำนิติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาหลวง เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 

แม้สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น และเป็นไปตามข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 127 ว่าเป็นของแท้จริงหรือถูกต้อง แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ตามคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง จำเลยยังพักอาศัยอยู่ในที่ดินตลอดมาจนปัจจุบัน จำเลยพยายามติดต่อซื้อบ้านคืน จำเลยร้องทุกข์ดำเนินคดีทางฉ้อโกงกับนายเอ แล้วยังยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีอีก โดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างพยานหลักฐานของจำเลย จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เชื่อได้ว่า ไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง เป็นการแสดงเจตนาลวง

โจทย์มีบ้านพักอาศัยอยู่ตรงกันข้ามกับที่ดินพิพาท เห็นจำเลยพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์รู้เห็นว่าจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพิพาทกับนายเอ โดยจำเลยเคยเจือนโจทก์ไม่ให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านซึ่งจำเลยยังพักอาศัยในที่ดินตลอดมา โจทก์กลับทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับนายเอ โจทก์ทั้งสองจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตต้องเสียหายอันเกิดแต่การแสดงเจตนาหลวง ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 

เมื่อการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนายเอเป็นโมฆะ นายเอย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนต่อจากนายเอย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2566

19/04/2567

ตัวแทนเชิดไปจดทะเบียนนิติกรรม ไม่จำเป็นต้องฟ้องตัวการ

จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนาง ก. ซึ่งเป็นพี่สาวของโจทก์ 

โจทก์ขอกู้ยืมเงินนาง ก. แต่โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 

ต่อมา จำเลยที่ 1 เอาที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของบริษัทตน 

คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดิน และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของนาง ก. ในการทำสัญญากู้ยืมเงิน และสัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ การซื้อขายที่ดินเป็นการอำพรางการกู้ยืมเงินจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 วรรคหนึ่ง 

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงิน เพิกถอนสัญญาซื้อขาย และขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดิน คำขออื่นให้ยก 

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนของนาง ก. เพราะจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของนาง ก. ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง นอกคำให้การและไม่ใช่ข้อที่ได้ยกว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง

จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของนาง ก. โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องฟ้องให้นาง ก. รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 เพราะหากโจทก์ชนะคดีก็คงมีผลเป็นการเพิกถอนการจดทะเบียนสำหรับนิติกรรมเท่านั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทน ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

สัญญากู้ยืมเงินระบุว่า เพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ผู้กู้ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้กู้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ยึดถือไว้เป็นประกันจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระเงินเสร็จสิ้น  ถือได้ว่าโจทก์ได้มอบที่ดินพิพาทให้นาง ก. ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้กู้ยืมเงิน แต่เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อน แต่สัญญาจำนองยังมีผลผูกพันโจทก์และใช้บังคับได้ตามกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และนาง ก. นำที่ดินไปแสวงหาประโยชน์มากเกินกว่าที่จะพึงยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้ของโจทก์โดยสุจริต เมื่อฟังได้ว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพราง การกู้ยืมเงินตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะมาอ้างยึดถือนิติกรรมซื้อขายที่ดิน ว่าการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปตามข้อตกลงตามสัญญากู้ยืมเงินได้อีก การพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินจึงชอบแล้ว 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2566

01/04/2567

กู้ยืมเงินโดยทำสัญญาขายฝากเป็นประกันการชำระหนี้ ไม่มีเจตนาที่จะรับซื้อฝากแต่แรก เป็นการทำสัญญาขายฝากอำพรางสัญญากู้ยืม

โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยโดยจดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้ โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนด แต่ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจะนำเงินไปชำระหนี้แก่จำเลย โดยสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กล่าวถึงสัญญาขายฝากแต่อย่างใด โจทก์กับจำเลยไม่มีเจตนาแปลงหนี้ใหม่ สัญญาขายฝากยังมีอยู่ไม่ได้ระงับสิ้นไป 

แต่โจทก์มีเจตนากู้ยืมเงินจำเลยโดยจดทะเบียนขายฝากเป็นประกันตามความประสงค์ของจำเลย ส่วนจำเลยเจตนาให้โจทก์กู้ยืมเงินโดยหวังดอกเบี้ย แต่ประสงค์ให้มีการทำสัญญาขายฝากเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่มีเจตนาที่จะรับซื้อฝากที่ดินมาตั้งแต่ต้น แสดงว่าโจทก์กับจำเลยไม่ได้เจตนาผูกพันกันจริงตามสัญญาขายฝาก แต่เป็นการทำสัญญาขายฝากเพื่ออำพรางการกู้ยืมเงิน สัญญาขายฝากเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่าย ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 ต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางคือนิติกรรมกู้ยืม โดยจำเลยผู้ให้กู้มีสิทธิยึดถือโฉนดไว้เป็นประกันจนกว่าจะได้รับชำระหนี้ 

เมื่อนิติกรรมขายฝากก็เป็นโมฆะ จึงไม่จำเป็นต้องเพิกถอนนิติกรรมขายฝากอีก 

โจทก์เป็นผู้ทำนิติกรรมตามสัญญาขายฝาก ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มีสิทธิยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4020/2566