แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปวิพ142 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปวิพ142 แสดงบทความทั้งหมด

07/03/2568

ให้ตัวแทนไปเป็นหุ้นส่วนแต่ตัวแทนทำกิจการเสียหาย ฟ้องตัวแทนและหุ้นส่วนเรียกเงินทุนคืน ไม่ใช่การเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทน ตัวการฟ้องตัวแทนไม่ได้ต้องฟ้องเรียกจากหุ้นส่วนเอา ฟ้องว่าห้างหุ้นส่วนเลิกกันแล้ว แต่หุ้นส่วนไม่คืนเงินลงทุนซึ่งบังคับได้เมื่อมีการชำระบัญชี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีการชำระบัญชีและตั้งผู้ชำระบัญชีไปเสียทีเดียว

ตัวการให้ตัวแทนไปเป็นหุ้นส่วนในกิจการห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ตัวแทนทำกิจการเสียหาย ตัวการจึงฟ้องตัวแทนและหุ้นส่วนเรียกเงินทุนคืนและส่วนแบ่งกำไรจากตัวแทนและหุ้นส่วน เช่นนี้ ไม่ใช่การเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทน ตัวการฟ้องตัวแทนไม่ได้ต้องฟ้องเรียกจากหุ้นส่วนเอา


ตกลงประกอบกิจการเอากำไรมาแบ่งกันเท่ากับว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเมื่อหุ้นส่วนบอกเลิกสัญญาหุ้นส่วนต่อหุ้นส่วนคนอื่นและกิจการเลิกกันแล้วถือว่าห้างหุ้นส่วนสามัญเลิกกันต้องชำระบัญชีเว้นแต่ตกลงกันจัดการโดยวิธีอื่น แต่ถ้าไม่ได้ตกลงกันก็ต้องชำระบัญชี


โจทก์บรรยายฟ้องห้างหุ้นส่วนเลิกกันแล้ว แต่หุ้นส่วนไม่คืนเงินลงทุนซึ่งสามารถบังคับชำระได้เมื่อมีการชำระบัญชี ย่อมเห็นความประสงค์ของโจทก์ว่าต้องการให้มีการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนด้วย ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีการชำระบัญชีและตั้งผู้ชำระบัญชีไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องให้โจทก์กลับไปฟ้องเป็นคดีใหม่อีก


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3899/2566


23/12/2567

บรรยายฟ้องว่าจ้างซ่อมรถและตกลงบันทึกประจำวัน ศาลวินิจฉัยตามข้อหาตามบันทึกประจำวันได้ และบันทึกประจำวันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่า จำเลยรับรถยนต์ไว้ซ่อมในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นผู้รับจ้าง ไม่ใช่จำเลยตกลงรับจ้างซ่อมตามที่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกก็ตาม แต่คำฟ้องตอนต่อมาระบุว่า หลังจากจำเลยรับรถยนต์ของโจทก์ไว้เกิน 2 เดือนแล้ว โจทก์เร่งรัดหลายครั้งจำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน โดยมีกำหนดเวลาซ่อมรถยนต์และข้อตกลงให้จำเลยรับผิด อันเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำบังคับตามที่ได้ตกลงกันตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน ไม่ใช่ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาจ้างซ่อมรถยนต์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยตามบันทึกข้อตกลงตามสำเนารายงานประจำวัน เป็นการวินิจฉัยสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องไม่ใช่นอกประเด็นข้อพิพาท 

ข้อตกลงตามสำเนารายงานประจำวันเป็นการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้ว โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยทำความตกลงขึ้นมาใหม่แต่ต่างจากสัญญาว่าจ้างเดิม มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งจำเลยทำขึ้นในฐานะส่วนตัวไม่ใช่ทำแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด และจำเลยต้องผูกพันตามข้อตกลงเป็นส่วนตัว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามข้อตกลงสำเนาประจำวันได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2566

09/08/2567

การหยิบปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยเป็นดุลพินิจของศาล

การหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) ขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2566

22/02/2567

โจทก์ฟ้องและมีคำขอโดยใช้สิทธิเจ้าหนี้สามัญและเจ้าหนี้จำนอง ศาลจะพิพากษาให้บังคับชำระหนี้โดยบังคับจากทรัพย์จำนองก่อนไม่ได้

โจทก์เป็นธนาคาร จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 2 

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์ มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินเป็นประกัน โดยตกลงว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยินยอมชดใช้หนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน

โจทก์จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญและเป็นเจ้าหนี้จำนองผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองด้วย ฉันจอดมีคำขอท้ายฟ้องว่าหากจำเลยทั้ง 3 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนอันเป็นการฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องตามสิทธิที่จะมีอยู่

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันชำระเงิน พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้ง 3 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน ซึ่งเป็นการกำหนดขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้ โดยให้โจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในการบังคับชำระหนี้น้อยกว่าสิทธิที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้ง 3 ไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้ง 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2566 ประชุมใหญ่