หนังสือรับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ระหว่างธนาคารโจทก์เจ้าหนี้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ทำขึ้นด้วยใจสมัครและตรงตามเจตนาของโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทั้งไม่ได้มีวัตถุประสงค์อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำสัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 ซึ่งมีบทบัญญัติว่า ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 681/1 วรรค 1 อันจะถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
การตกลงชำระหนี้แทนลูกหนี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับการค้ำประกันลูกหนี้ต่อเจ้าหนี้มีลักษณะเป็นการยอมผูกพันตนในการชำระหนี้เพื่อผู้อื่นเช่นเดียวกัน การจะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของนิติกรรมทั้ง 2 ประเภทนั้น นอกจาก ต้องพิจารณาถึงสิทธิและหน้าที่ที่แตกต่างกัน ยังต้องพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาเป็นสำคัญ
ตามหนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้ระบุถึงเหตุผลของการเข้ารับชำระหนี้แทนไว้ประการหนึ่งว่า เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นในทันทีได้ การยอมตนเข้าผูกพันเพื่อชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงกระทำโดยผู้มีส่วนได้เสียและเพื่อให้เป็นที่มั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติตามข้อตกลงให้ลุล่วงไปโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับตามวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นอกจากนี้ตามหนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้ยังกำหนดระยะเวลาและจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งแตกต่างจากความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 ที่บัญญัติให้ต้องชำระหนี้ ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ จึงแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์กับจำเลยที่สองว่าประสงค์จะผูกพันตามเนื้อความในหนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้มากกว่าที่จะให้จำเลยที่ 2 ผูกพันตนในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1884/2566
หมายเหตุ ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8418/2563 ประกอบ ยังขัดกันอยู่