21/04/2568

รวมแปลงที่ดินซึ่งมีแปลงหนึ่งติดภาระจำยอมไม่ทำให้ภารจำยอมกระจายไปทุกส่วนของโฉนดใหม่ แต่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินมีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเดิมซึ่งเป็นภารยทรัพย์เท่านั้น

ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ตัดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์


การรวมโฉนดที่ดินหลายแปลงเป็นโฉนดเดียวไม่ได้มีผลทำให้ภาระจำยอมเดิมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแปลงใดได้กระจายไปอยู่ในทุกส่วนของโฉนดที่ดินฉบับใหม่ ภาระจำยอมที่ยังคงอยู่ในโฉนดที่ดินมีอยู่เฉพาะในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินโฉนดเดิมซึ่งเป็นภารยทรัพย์เท่านั้น


เจ้าของภารยทรัพย์ต้องผูกพันด้วยการงดเว้นการใช้สิทธิในที่ดินส่วนที่เคยเป็นที่ดินภารยทรัพย์ 


กรณีนี้ไม่ใช่กรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องเพียงบางส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์อาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2566


07/03/2568

ให้ตัวแทนไปเป็นหุ้นส่วนแต่ตัวแทนทำกิจการเสียหาย ฟ้องตัวแทนและหุ้นส่วนเรียกเงินทุนคืน ไม่ใช่การเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทน ตัวการฟ้องตัวแทนไม่ได้ต้องฟ้องเรียกจากหุ้นส่วนเอา ฟ้องว่าห้างหุ้นส่วนเลิกกันแล้ว แต่หุ้นส่วนไม่คืนเงินลงทุนซึ่งบังคับได้เมื่อมีการชำระบัญชี ศาลมีอำนาจพิพากษาให้มีการชำระบัญชีและตั้งผู้ชำระบัญชีไปเสียทีเดียว

ตัวการให้ตัวแทนไปเป็นหุ้นส่วนในกิจการห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ตัวแทนทำกิจการเสียหาย ตัวการจึงฟ้องตัวแทนและหุ้นส่วนเรียกเงินทุนคืนและส่วนแบ่งกำไรจากตัวแทนและหุ้นส่วน เช่นนี้ ไม่ใช่การเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทน ตัวการฟ้องตัวแทนไม่ได้ต้องฟ้องเรียกจากหุ้นส่วนเอา


ตกลงประกอบกิจการเอากำไรมาแบ่งกันเท่ากับว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเมื่อหุ้นส่วนบอกเลิกสัญญาหุ้นส่วนต่อหุ้นส่วนคนอื่นและกิจการเลิกกันแล้วถือว่าห้างหุ้นส่วนสามัญเลิกกันต้องชำระบัญชีเว้นแต่ตกลงกันจัดการโดยวิธีอื่น แต่ถ้าไม่ได้ตกลงกันก็ต้องชำระบัญชี


โจทก์บรรยายฟ้องห้างหุ้นส่วนเลิกกันแล้ว แต่หุ้นส่วนไม่คืนเงินลงทุนซึ่งสามารถบังคับชำระได้เมื่อมีการชำระบัญชี ย่อมเห็นความประสงค์ของโจทก์ว่าต้องการให้มีการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนด้วย ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีการชำระบัญชีและตั้งผู้ชำระบัญชีไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องให้โจทก์กลับไปฟ้องเป็นคดีใหม่อีก


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3899/2566


23/12/2567

บรรยายฟ้องว่าจ้างซ่อมรถและตกลงบันทึกประจำวัน ศาลวินิจฉัยตามข้อหาตามบันทึกประจำวันได้ และบันทึกประจำวันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่า จำเลยรับรถยนต์ไว้ซ่อมในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นผู้รับจ้าง ไม่ใช่จำเลยตกลงรับจ้างซ่อมตามที่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกก็ตาม แต่คำฟ้องตอนต่อมาระบุว่า หลังจากจำเลยรับรถยนต์ของโจทก์ไว้เกิน 2 เดือนแล้ว โจทก์เร่งรัดหลายครั้งจำเลยผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน โดยมีกำหนดเวลาซ่อมรถยนต์และข้อตกลงให้จำเลยรับผิด อันเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำบังคับตามที่ได้ตกลงกันตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน ไม่ใช่ขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาจ้างซ่อมรถยนต์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยตามบันทึกข้อตกลงตามสำเนารายงานประจำวัน เป็นการวินิจฉัยสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องไม่ใช่นอกประเด็นข้อพิพาท 

ข้อตกลงตามสำเนารายงานประจำวันเป็นการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้ว โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยทำความตกลงขึ้นมาใหม่แต่ต่างจากสัญญาว่าจ้างเดิม มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งจำเลยทำขึ้นในฐานะส่วนตัวไม่ใช่ทำแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด และจำเลยต้องผูกพันตามข้อตกลงเป็นส่วนตัว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามข้อตกลงสำเนาประจำวันได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2566

20/12/2567

ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทน ต่อมาตกลงยอมความหย่ากัน จึงเรียกค่าทดแทนไม่ได้ แต่ยังเรียกค่าทดแทนจากชู้ได้

มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง การเรียกค่าทดแทนมีเงื่อนไขว่าต้องฟ้องหย่าและศาลพิพากษาให้หย่ากัน ส่วนมาตรา 1523 วรรคสอง สามารถเรียกค่าทดแทนได้โดยไม่มีเงื่อนไขต้องฟ้องหย่า

ภรรยาฟ้องหย่าสามี แต่ต่อมาตกลงหย่ากันโดยให้ภรรยาปกครองบุตร ต้องถือว่าภรรยากับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันในประเด็นหย่าและอำนาจปกครองบุตร ไม่ใช่กรณีที่ศาลพิพากษาให้หย่ากัน ภรรยาจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากสามี ตามมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง แต่ภรรยามีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตามมาตรา 1523 วรรคสอง เพราะไม่มีเงื่อนไขว่าต้องฟ้องหย่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2566

02/12/2567

การขออนุญาตอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น แม้ศาลสั่งว่า "รับอุทธรณ์" โดยไม่มีข้อความอื่นให้เข้าใจว่าเป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นก็ยังต้องห้ามมิให้อุทธรณ์

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ เว้นแต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ และอนุญาตให้อุทธรณ์

การขออนุญาตอุทธรณ์ต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น ขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นอะไรญาติให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้

โจทก์อุทธรณ์โดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า "รับอุทรณ์ สำเนาให้จำเลยแก้ภายใน 15 วันนับแต่วันรับสำเนาอุทธรณ์ ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด" โดยไม่มีข้อความอื่นให้เข้าใจว่าเป็นการอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ ดังนั้น อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในการแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกออุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2566

29/11/2567

รู้เห็นว่าที่ดินพิพาทมีปัญหา เคยได้รับการเตือนแล้ว แต่ยังไปทำนิติกรรมกันอยู่ จึงไม่ใช่คนนอกผู้ทำการโดยสุจริตต้องเสียหายจากเจตนาลวง

จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายเอกเพื่อช่วยเหลือนายเอให้นำที่ดิน พร้อมบ้าน ไปจำนองแก่ธนาคาร โดยไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง การทำนิติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาหลวง เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 

แม้สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น และเป็นไปตามข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 127 ว่าเป็นของแท้จริงหรือถูกต้อง แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ตามคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง จำเลยยังพักอาศัยอยู่ในที่ดินตลอดมาจนปัจจุบัน จำเลยพยายามติดต่อซื้อบ้านคืน จำเลยร้องทุกข์ดำเนินคดีทางฉ้อโกงกับนายเอ แล้วยังยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีอีก โดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างพยานหลักฐานของจำเลย จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เชื่อได้ว่า ไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง เป็นการแสดงเจตนาลวง

โจทย์มีบ้านพักอาศัยอยู่ตรงกันข้ามกับที่ดินพิพาท เห็นจำเลยพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์รู้เห็นว่าจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพิพาทกับนายเอ โดยจำเลยเคยเจือนโจทก์ไม่ให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านซึ่งจำเลยยังพักอาศัยในที่ดินตลอดมา โจทก์กลับทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับนายเอ โจทก์ทั้งสองจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตต้องเสียหายอันเกิดแต่การแสดงเจตนาหลวง ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 

เมื่อการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนายเอเป็นโมฆะ นายเอย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนต่อจากนายเอย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2566

22/11/2567

ค่าจ้างว่าความของทนายที่มีจำนวนแน่นอน ไม่ได้คำนึงถึงผลของคดี ไม่เป็นข้อตกลงแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์ที่เป็นมูลหนี้พิพาท หรือเป็นข้อตกลงที่ให้ทนายเข้าไปมีส่วนได้เสีย โดยตรงในผลของคดี ไม่เป็นโมฆะ อายุความ 2 ปี เริ่มนับแต่ ผู้ว่าจ้างไปรับมอบการงานที่ทำ

จำเลยจ้างโจทก์เป็นทนาย มีข้อตกลงชำระค่าว่าจ้างเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 10,000 บาทให้โจทก์ฟ้องร้องจนกว่าคดีถึงที่สุด ส่วนที่ 2 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยชนะคดีและได้รับเงิน จำเลยตกลงชำระเงินในชั้นบังคับคดีแก่โจทก์อัตราร้อยละ 10 ของทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ข้อตกลงทั้ง 2 ส่วนเป็นการกำหนดจำนวนค่าจ้างไว้เป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้คำนึงถึงผลของคดี แม้ค่าจ้างในส่วนที่ 2 เป็นการคำนวณค่าจ้างให้คิดเป็นจำนวนร้อยละของทุนทรัพย์ที่ฟ้องก็เป็นจำนวนแน่นอน โดยโจทก์ไม่สามารถกำหนดค่าเสียหายในการฟ้องร้องได้ตามอำเภอใจ ข้อตกลงทั้งสองส่วนไม่เป็นข้อตกลงแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์ที่เป็นมูลพิพาทที่ลูกความจะได้รับเมื่อชนะคดี ไม่มีลักษณะเป็นข้อตกลงให้ทนายเข้าไปมีส่วนได้เสียในทางการเงินโดยตรงในผลของคดีที่ว่าความ สัญญาจ้างว่าความจึงไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ 2528 และข้อบังคับของสภาทนายความ และไม่ใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีที่จะตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150

สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34 (16)  ซึ่งมาตรา 602 วรรค 1 บัญญัติให้สินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ จึงต้องถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความถึงกำหนดเมื่อจำเลยได้รับมอบงานการที่ทำแล้ว

สิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างของโจทก์ซึ่งเป็นทนาย ในส่วนที่ 1 ย่อมเกิดขึ้นทันทีนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา แต่สิทธิเรียกร้องค่าจ้างว่าความในส่วนที่ 2 เริ่มนับแต่วันที่ จำเลยได้รับชำระเงินครบถ้วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3599/2566