29/11/2567

รู้เห็นว่าที่ดินพิพาทมีปัญหา เคยได้รับการเตือนแล้ว แต่ยังไปทำนิติกรรมกันอยู่ จึงไม่ใช่คนนอกผู้ทำการโดยสุจริตต้องเสียหายจากเจตนาลวง

จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายเอกเพื่อช่วยเหลือนายเอให้นำที่ดิน พร้อมบ้าน ไปจำนองแก่ธนาคาร โดยไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง การทำนิติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาหลวง เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 

แม้สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น และเป็นไปตามข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 127 ว่าเป็นของแท้จริงหรือถูกต้อง แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ตามคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง จำเลยยังพักอาศัยอยู่ในที่ดินตลอดมาจนปัจจุบัน จำเลยพยายามติดต่อซื้อบ้านคืน จำเลยร้องทุกข์ดำเนินคดีทางฉ้อโกงกับนายเอ แล้วยังยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดีอีก โดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างพยานหลักฐานของจำเลย จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เชื่อได้ว่า ไม่ได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง เป็นการแสดงเจตนาลวง

โจทย์มีบ้านพักอาศัยอยู่ตรงกันข้ามกับที่ดินพิพาท เห็นจำเลยพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์รู้เห็นว่าจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพิพาทกับนายเอ โดยจำเลยเคยเจือนโจทก์ไม่ให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านซึ่งจำเลยยังพักอาศัยในที่ดินตลอดมา โจทก์กลับทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับนายเอ โจทก์ทั้งสองจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตต้องเสียหายอันเกิดแต่การแสดงเจตนาหลวง ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 

เมื่อการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนายเอเป็นโมฆะ นายเอย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนต่อจากนายเอย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2566

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น