เว็บไซต์และบริการต่าง ๆ สามารถตรวจจับการใช้งาน VPN ของเราได้ แม้ว่า VPN จะช่วยในการปกปิดตัวตนได้ แต่ก็มีหลายวิธีที่เว็บไซต์สามารถตรวจจับได้ว่าเรากำลังใช้งาน VPN อยู่
1. ตรวจสอบจาก IP Address:
แม้ว่า VPN จะปกปิด IP Address ที่แท้จริงของเรา แต่ IP Address ของเซิร์ฟเวอร์ VPN นั้นเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป บริษัทต่าง ๆ มักมีรายการ IP Address ที่เชื่อมโยงกับบริการ VPN (blacklist) การเข้าเว็บไซต์ด้วย IP Address เหล่านี้จะทำให้ระบบสามารถระบุได้ทันทีว่ามีการใช้ VPN และการที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากใช้ IP Address เดียวกันพร้อมกันก็เป็นที่น่าสงสัย
2. ข้อมูลจากเบราว์เซอร์:
ข้อมูลบางส่วนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์สามารถเปิดเผยตำแหน่งที่แท้จริงได้
การตั้งค่าภาษาและเขตเวลา: หากมีการตั้งค่าเป็นภาษาไทย แต่ IP Address มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่สอดคล้องกัน
คุกกี้ (Cookies): ไฟล์ขนาดเล็กที่เว็บไซต์จัดเก็บไว้ อาจมีข้อมูลตำแหน่งที่แท้จริงของเราบันทึกอยู่
Browser Fingerprinting: เว็บไซต์สามารถระบุเอกลักษณ์เฉพาะของเบราว์เซอร์ได้จากข้อมูลต่าง ๆ (เช่น รุ่นของเบราว์เซอร์, ส่วนขยายที่ติดตั้ง) ทำให้สามารถติดตามได้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง IP Address
3. การรั่วไหลของข้อมูล:
ในบางกรณี VPN อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหลได้ เช่น:
DNS Leak: เมื่อเบราว์เซอร์ส่งคำขอ DNS เพื่อสอบถาม IP Address ของเว็บไซต์ ออกไปนอกอุโมงค์ VPN ทำให้ตำแหน่งที่แท้จริงรั่วไหล
WebRTC Leak: เป็นเทคโนโลยีในเบราว์เซอร์ที่อาจทำให้ IP Address ที่แท้จริงหลุดรอดจาก VPN ได้
Kill Switch ไม่ทำงาน: หากการเชื่อมต่อ VPN หลุด และระบบตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอัตโนมัติ (Kill Switch) ทำงานผิดพลาด IP Address ที่แท้จริงจะถูกเปิดเผยชั่วขณะ
4. พฤติกรรมการใช้งาน:
เว็บไซต์สามารถสังเกตการณ์จากพฤติกรรมที่ไม่ปกติได้
ตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: การที่ตำแหน่งการเข้าถึงเปลี่ยนจากประเทศไทยไปยังประเทศอื่นภายในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางกายภาพ
- ข้อมูลไม่ตรงกัน: การทำรายการด้วยบัตรเครดิตที่ออกในประเทศไทย แต่ดำเนินการจาก IP Address ในประเทศอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น