เรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า กระทาชายนายหนึ่ง นามสมมติว่า นายหล่อรัก ครึ้มอกครึ้มใจอยากระบายและละลายเงินทองในกระเป๋าสตางค์ให้คลายเหงา จึงขับรถยนต์คันโก้บึ่งออกไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านที่คุ้นเคย ครั้นถึงหน้าห้าง นายหล่อรักสาดโค้งเข้าห้าง เบรคเอี๊ยดหน้ากล้องวงจรปิดพร้อมลดกระจกลงและแสยะยิ้มให้กล้องหนึ่งที ก่อนที่จะขับรถเข้าไปถอยเข้าซองจอดอย่างมืออาชีพ นายหล่อรักลงจากรถพร้อมจดจำต้นเสาต้นใหญ่ที่วางตั้งไว้ใกล้รถตนเพื่อจะได้กลับมาที่รถได้ถูก จากนั้น นายหล่อรักจึงได้เดินเสยผมเข้าห้างดิ่งตรงไปยังร้านชาบูชื่อดังก่อนจะตบท้ายด้วยไอศกรีมซันเดย์ถ้วยโตที่ร้านข้างๆ
เมื่ออิ่มหนำสำราญเป็นที่พอใจแล้ว นายหล่อรักจึงเดินพุงโย้มาที่เสาต้นที่ตนจอดรถไว้เพื่อกลับบ้าน แต่ปรากฎว่ารถคันโก้ท่อซิ่งของนายหล่อรักได้อัตรธานหายไป นายหล่อรักไม่เชื่อสายตาและสมองตัวเอง คิดว่าตนจำเสาผิดต้น จึงเดินหารถสุดที่รักของตนจนทั่วห้าง เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีก็ไม่พบเจอ นายหล่อรักจึงลากขามาขอความช่วยเหลือจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างให้ช่วยตามหารถของตน พนักงานรักษาความปลอดภัยซุบซิบประสานงานกันสักพัก จึงมาแจ้งนายหล่อรักว่ารถสุดที่รักของเขาได้มีคนขับออกจากห้างไปแล้ว นายหล่อรักร้องไห้ฟูมฟายเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มากพอที่จะลบล้างอารมณ์โกรธที่กล่าวหาว่าห้างไม่ดูแลรักษารถของตน ทั้งๆที่ตนเอาเงินมาจับจ่ายที่ห้างนี้อยู่เป็นประจำ
นายหล่อรักนอนไม่หลับกระสับกระส่าย โกรธข้ามวันข้ามคืนและคิดคำนึงถึงรถสุดรักเป็นอย่างยิ่ง แจ้งความกับตำรวจท้องที่ใกล้บ้านแล้วแต่ก็ไม่คืบหน้า แต่ยังดีที่นายหล่อรักรู้จักบริหารความเสี่ยง ทำประกันภัยชั้นหนึ่งคุ้มครองรถหายไว้ด้วย จึงไปใช้สิทธิเรียกร้องเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยมาเยียวยาหัวใจ
บริษัทประกันภัยจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้นายหล่อรักไปแล้ว จึงได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าเสียหายจากห้างในฐานะที่ไม่ดูแลรถของนายหล่อรักให้ดี แต่ห้างไม่ยอมจ่ายเพราะว่าห้างติดป้ายว่าไม่รับรู้ไม่รับผิดชอบเรื่องรถหายไว้แล้ว บริษัทประกันภัยไม่มีทางอื่นจะบังคับห้างได้ จึงต้องไปพึ่งบารมีศาล บริษัทกับห้างสู้คดีกันจนศาลสุดท้ายอันเป็นศาลสูงสุด ศาลจึงได้พิพากษาตัดสินคดีไว้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 7471/2556 อันมีรายละเอียดตามด้านล่างนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556
จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น ๆ หรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8 (9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร แต่จำเลยยังต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวรจรปิดแทน เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างฯ ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการทำละเมิดของจำเลย
ตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้นเป็นกรณีที่ห้างไม่มีการแจกบัตรจอดรถไม่เก็บค่าที่จอดรถ มีแต่กล้องวงจรปิด ถึงกระนั้นห้างก็ยังต้องรับผิดชอบในความสูญหายของรถลูกค้า และยังมีคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับรถหายในห้างที่แจกบัตรเข้าออกลานจอดรถ ซึ่งศาลฎีกาก็พิพากษาให้ห้างรับผิดชอบในความสูญหายของรถลูกค้าเช่นกัน ดังคำพิพากษาฎีกาด้านล่างนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5800/2553
จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับฝากรถของลูกค้าที่นำมาจอดเพื่อใช้บริการของห้างจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างห้างจำเลยที่ 1 อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งกำหนดให้เจ้าของอาคารต้องมีที่จอดรถ จำเลยที่ 1 จึงต้องจัดสร้างที่จอดรถดังกล่าวและจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ในการดูแลรักษาความปลอดภัยห้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งในการนำรถยนต์เข้ามาจอด ต้องรับบัตรจอดรถจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 และเมื่อจะนำรถยนต์ออกต้องแสดงบัตรจอดรถที่ตรงกับหมายเลขทะเบียนรถต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 ตรวจดูว่าถูกต้องจึงจะอนุญาตให้นำรถออกจากห้องของจำเลยที่ 1 ได้ แม้จำเลยที่ 1 ไม่เก็บค่าจอดรถ แต่ก็เป็นการจัดที่จอดรถให้แก่ลูกค้าตามพระราชบัญญัติของกฎหมาย และตามพฤติการณ์ยังเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของห้างจำเลยที่ 1 ที่มีผลต่อยอดจำหน่ายสินค้าของจำเลยที่ 1 โดยตรง ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอื่น จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ให้บริการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 3 ทั้งห้างของจำเลยที่ 1 มีลูกค้าขับรถยนต์มาจอดและเข้าซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากการดำเนินคดีย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคโดยส่วนรวมตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 39 คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโจทก์ย่อมมีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณาและแต่งตั้งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีแทนผู้บริโภคได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ผู้บริโภคขับรถยนต์พิพาทไปจอดที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 1 โดยรับบัตรจอดรถฉบับบนจากจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 2 ที่ประจำอยู่ประตูทางเข้าของห้าง โดยจำเลยที่ 4 ได้เขียนกำกับหมายเลขทะเบียนรถยนต์ของผู้บริโภคไว้ในบัตรจอดรถก่อนมอบให้ผู้บริโภค เมื่อจอดรถแล้วผู้เสียหายได้เข้าไปซื้อสินค้าในห้างของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นประมาณ 50 นาที ผู้บริโภคได้กลับมาที่จอดรถ ปรากฏว่ารถยนต์พิพาทหายไปแล้ว โดยบัตรจอดรถยังอยู่ที่ผู้บริโภค การออกบัตรจอดรถให้เจ้าของรถยนต์ที่ผ่านเข้ามาจอดในลานจอดรถไม่ได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ โดยเขียนกำกับเฉพาะหมายเลขทะเบียนแต่ไม่ได้ระบุหมวดตัวอักษรหน้าหมายเลขทะเบียน และบัตรอ่อนไม่ระบุวันเดือนปีและเวลาที่รถยนต์เข้ามาจอด จึงง่ายต่อการปลอมแปลงและนำมาใช้ซ้ำ การที่พนักงานรักษาความปลอดภัยปล่อยให้คนร้ายนำรถของผู้บริโภคออกจากลานจอดรถโดยไม่ระมัดระวังในการตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัด จึงเป็นผลโดยตรงที่ทำให้รถยนต์ถูกลักไป เป็นการประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 และที่ 4 พนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้างที่กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 อันเป็นการละเมิดต่อผู้บริโภค ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และ 425 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งการละเมิดต่อผู้บริโภค
ตามสัญญาว่าจ้างงานรักษาความปลอดภัย ครอบคลุมเฉพาะการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของผู้ว่าจ้างและลูกจ้างของผู้ว่าจ้างเท่านั้น แต่ตามสัญญาข้อ 1 ระบุว่านอกจากจำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 ทำการรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 และลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แล้วยังรวมตลอดถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์หรืออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลหรือครอบครองของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในบริเวณห้างจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากนี้ยังได้ระบุในสัญญาว่าจ้างงานรักษาความปลอดภัย ข้อ 7.3 ว่า “ประสานงานและให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือในการป้องกันและปราบปรามโจรกรรม การก่อวินาศกรรม การก่ออาชญากรรมทุกรุปแบบตลอดจนการก่อความวุ่นวาย การจลาจลต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นภายในบริเวณสถานที่ของผู้ว่าจ้าง” ด้วย จึงย่อมรวมถึงรถยนต์ของผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 ที่มาจอดในบริเวณห้างและถูกคนร้ายลักไปเพราะการลักทรัพย์ถือเป็นการโจรกรรมและการก่ออาชญากรรมอย่างหนึ่ง จึงอยู่ในขอบเขตการว่าจ้างการรักษาความปลอดภัยตามสัญญาว่าจ้างงานรักษาความปลอดภัย จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวแทนที่รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ในการรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินในห้างจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกันกระทำละเมิดทำให้รถยนต์พิพาทของผู้บริโภคสูญหายไป จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการจึงต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งตัวแทนของจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในกิจการที่รับมอบหมายให้ทำแทนนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 427 ประกอบมาตรา 425
Photo by: Nesster
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น