ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำผิดก็ต้องได้รับผลแห่งกรรมตามการกระทำของตน แต่คนไม่ผิดถูกยัดเยียดให้ผิด ตกเป็นแพะรับบาป รับเคราะห์กรรมที่ตนไม่ได้ก่อ ต้องติดคุกเพราะไม่รู้หนทางต่อสู้ หรือแม้จะทำผิดมา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคน ตบตีเตะต่อยให้รับสารภาพ ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนี้จะไม่มีความยุติธรรม หากไม่มีทนายความคอยช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก กฎหมายของไทยเราก็ได้กำหนดไว้แล้วให้คดีอาญาที่มีโทษจำคุกติดตาราง อย่างน้อยศาลต้องถามจำเลยถึงความต้องการทนายความ
ในคดีอาญาซึ่งมีโทษทัณฑ์ถึงขั้นตัดสิทธิเสรีภาพของเราได้นั้น กฎหมายกำหนดให้สิทธิที่เราจะพบหรือปรึกษาทนายความได้ตั้งแต่ตกเป็นผู้ต้องหาในชั้นตำรวจ ทนายความจะเป็นตัวแทนของเราที่คอยต่อสู้เคียงข้างเราให้ได้รับความยุติธรรมจนถึงที่สุด
เมื่อเรื่องราวสอบสวนผ่านตำรวจไปอัยการจนถึงขั้นยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว กฎหมายก็ได้กำหนดให้ก่อนที่ศาลจะพิจารณาคดีสืบพยานถามนู่นถามนี่ต้องถามถึงเรื่องว่าจำเลยมีทนายความหรือไม่ด้วย(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173) โดยหากคดีที่เราถูกกล่าวหาว่าทำผิดในข้อหาซึ่งมีโทษจำคุกแม้สักวันเดียว ศาลก็ต้องถามเราว่ามีทนายความหรือไม่ หากเราไม่มีทนายความและต้องการทนายความ ศาลก็จะจัดหาแต่งตั้งทนายความให้เรา โดยที่เราไม่ต้องไปดิ้นรนหาให้เหนื่อยกาย ยิ่งกว่านั้น หากเราถูกกล่าวหาในข้อหาที่มีโทษถึงตาย(ประหารชีวิต) ศาลยิ่งต้องถามเราว่ามีทนายความหรือไม่ หากเราไม่มีทนายความ ศาลก็จะจัดหาแต่งตั้งทนายความให้แม้เราไม่ต้องการ ที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้ก็เพื่อให้ทนายความผู้มีความรู้กฎหมายคอยช่วยเหลือเราในกระบวนการยุติธรรม
จะเป็นอย่่างไรหากศาลไม่ถามเราถึงเรื่องทนายความสักคำ? กรณีที่ศาลไม่ถามเรื่องทนายความตามที่กฎหมายกำหนด หากศาลพิจารณาพิพากษาคดีไป ก็ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไม่ถูกต้อง เราสามารถอุทธรณ์ฎีกาต่อสู้กรณีนี้ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 344/2549
โจทก์ฟ้องคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในการพิจารณาคดีก่อนถามคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นมิได้สอบถามจำเลยเรื่องทนายความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสอง จึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ และทำให้จำเลยเสียเปรียบ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ให้ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยเรื่องทนายความแล้วให้ส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 8 เพื่อพิจารณาพิพากษา ก็ไม่อาจแก้ไขกระบวนการพิจารณาที่เสียไปแล้วตั้งแต่ต้นให้กลับมาเป็นชอบด้วยกฎหมายได้ ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
หรือหากศาลถามเราถึงเรื่องทนายความแล้ว แต่ศาลไม่ตั้งทนายความให้เรา เราก็ต้องคัดค้านโดยเร็วที่สุด อย่างช้าไม่เกิน 8 วันนับแต่รู้ว่าศาลไม่แต่งทนายความให้ หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปแล้วจะเป็นผลร้ายสำหรับเรา ดังตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาด้านล่างนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 860/2553
เมื่อปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่าจำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นแต่งตั้งทนายความให้ตลอดมาจนกระทั่งสืบพยานจำเลยเสร็จ แต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้แต่งตั้งทนายความให้จำเลย ซึ่งหากจำเลยเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสอง จำเลยต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องเพื่อให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันทราบกระบวนพิจารณานั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด คำร้องของจำเลยย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่คดีที่มีโทษถึงตาย ศาลต้องตั้งทนายความให้ตั้งแต่เริ่มพิจารณาคดีแม้จำเลยอย่างเราจะไม่ต้องการก็ตามที มิฉะนั้น การดำเนินการะบวนพิจารณาในชั้นศาลจะเป็นการไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องกลับมาพิจารณาคดีกันใหม่ให้ยืดเยื้อ ดังตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาด้านล่างนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3133/2551
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 3,800 เม็ด น้ำหนัก 382.810 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ ได้ 28.483 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กรณีจึงต้องด้วยบทกำหนดโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสาม อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้ อันเป็นคนละกรณีกับวรรคสองของบทมาตราดังกล่าว ซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ที่ศาลต้องสอบถามด้วยว่าจำเลยต้องการทนายความหรือไม่ ดังนั้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยไม่มีทนายความ ศาลก็ต้องตั้งทนายความให้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยต้องการทนายความหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อความคุ้มครองแก่จำเลยในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ แต่คดีนี้ปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2549 ท้ายคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่าศาลชั้นต้นสอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว แต่จำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความ ดังนี้ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สอบถามจำเลยเรื่องทนายความโดยไม่ตั้งทนายความให้จำเลย แล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยไปจนเสร็จ แม้ต่อมาจำเลยจะได้แต่งทนายความเข้ามา แต่ก็เป็นการแต่งทนายความเข้ามาในภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จนเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้น ขณะที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ในคดีนี้ จำเลยยังไม่มีทนายความคอยช่วยเหลือในการดำเนินคดี อันเป็นกระบวนการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นเป็นการจำเป็นที่จะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น