23/12/2557

โอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้คนอื่น ลูกจ้างต้องยินยอม

เกิดมาเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนเขาก็ต้องทำงานแลกเงินกันไป รอวันเงินเดือนออกเมื่อไหร่ ชีวิตก็จะกลับมาสดใสอีกครั้ง เป็นนายจ้างลูกจ้างกันก็มีความผูกพันรักใคร่ เขาให้เงินเรา เราทำงานให้เขา เกื้อกูลกันไป มีทุกข์ร่วมเสพ แต่มีสุขเมื่อไหร่ก็ทางใครทางมัน วันดีคืนดีเพื่อนของนายจ้างเห็นแววการทำงานของเราไปเข้าตาเขาเข้าอย่างจัง สนใจทาบทามขอตัวไปทำงานด้วย ตัวเราก็ไม่อยากไปเพราะยังรักใคร่นายเก่าอยู่ อีกทั้งก็ใกล้บ้านใกล้โรงเรียนลูก ไม่อยากจะไปเลย แต่นายไม่เข้าใจ รักเพื่อนมากกว่าเรา ผลักไสไล่ส่งให้ออกไป ใช้วิธีการต่างๆนานา ไม่จ่ายโบนัสให้เต็มบ้าง ตัดค่าเช่าบ้านบ้าง ยึดรถคืนบ้าง หนักเข้าจนจ้างคนใหม่มาทำแทนเราเสียเลย คิดในใจแต่ออกเสียงดัง นี่มันบีบเรา ไล่เราออกชัดๆ

เปลี่ยนตัวนายจ้าง

เรื่องก็มีอยู่ว่า กระทาชายนายหนึ่ง นามสมมติว่า เบิร์ด ทำงานให้บริษัทเอมานานนม จนเป็นใหญ่เป็นโตระดับผู้จัดการ เงินเดือนรวมแล้วเหยียบแสน วันดีคืนดีเจ้านายมีหนังสือสั่งการให้โอนเบิร์ดไปทำงานที่บริษัทบี ไม่ต้องมาทำงานที่บริษัทเออีกแล้ว ตั้งแต่วันที่กำหนดไว้เป็นต้นไป ทั้งๆ ที่เบิร์ดไม่ได้ทำผิดอันใด เบิร์ดน้อยใจว่าทำไมต้องมาผลักไสไล่ส่งกันด้วย และเบิร์ดก็ไม่ยอมไปทำงานที่บริษัทบี ครั้นถึงวันที่กำหนด เจ้านายประจำบริษัทเอก็จ้างคนใหม่มาทำงานแทนเบิร์ดในตำแหน่งของเบิร์ดแล้ว เบิร์ดไม่พอใจ นี่มันบีบบังคับไล่กันออกชัดๆ ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเสียด้วย เงินโบนัสก็ยังจ่ายไม่ครบ ข้าวของก็ยังอยู่ที่ห้องทำงานที่ถูกเปลี่ยนกุญแจไปแล้ว ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย

เบิร์ดไม่รู้จะไปพึ่งใคร ปรึกษาทนายความแล้ว จึงหันหน้าเข้าพึ่งบารมีศาล ขอความยุติธรรมให้แก่ตน เบิร์ดกับบริษัทเอสู้กันจนถึงศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 46/2537 บอกว่า การที่บริษัทเอสั่งโอนเบิร์ดให้ไปทำงานที่บริษัทบี เป็นการโอนสิทธิความเป็นนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากเบิร์ดก่อนจึงจะทำได้ แต่เมื่อเบิร์ดไม่ยินยอม แล้วยังจ้างคนอื่นมาทำงานแทนเบิร์ดและบอกเบิร์ดว่าให้พ้นจากตำแหน่งไป จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลจึงสั่งให้บริษัทเอจ่ายเงินชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย ค่านู่นค่านี่อีกมากมายให้แก่เบิร์ด เบิร์ดจึงได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  46/2537
การที่นายจ้างสั่งโอนลูกจ้างไปทำงานกับบริษัทอื่นในต่างประเทศซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากนายจ้างเดิมโดยให้ลูกจ้างไปทำสัญญากับบริษัทดังกล่าวใหม่ และให้ตำแหน่งของลูกจ้างในบริษัทนายจ้างเดิมสิ้นสุดลงและจ้างบุคคลอื่นทำงานในตำแหน่งแทนแล้ว กรณีเช่นนี้เป็นการโอนสิทธิของนายจ้างไปยังบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างด้วยจึงจะกระทำได้ เมื่อลูกจ้างไม่ยินยอมด้วยโดยไม่ยอมทำสัญญาจ้างฉบับใหม่กับบริษัทอื่นที่จะโอนไปนั้น นายจ้างก็ให้ลูกจ้างพ้นจากตำแหน่งและจ้างบุคคลอื่นดำรงแทน กรณีจึงเป็นเรื่องนายจ้างสั่งเลิกจ้างและเมื่อการสั่งโอนดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าลูกจ้างกระทำผิดใดการเลิกจ้างกรณีเช่นนี้จึงเป็นการเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1605/2551
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 13 ใช้สำหรับกรณีมีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างไม่ว่านายจ้างนั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล จึงมีผลให้นายจ้างใหม่ต้องรับสิทธิและหน้าที่อันเกี่ยวกับลูกจ้างที่มีอยู่กับนายจ้างเดิมมาด้วยทุกประการ แต่หากเป็นการโอนสิทธิความเป็นนายจ้างให้แก่นายจ้างใหม่นั้นกรณีต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 577 ซึ่งนายจ้างเดิมและนายจ้างใหม่จะทำได้เมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย และเมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจในการโอนสิทธิดังกล่าวแล้วลูกจ้างนั้นจึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างใหม่ด้วยเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าในระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดเกษียณอายุเมื่อครบ 65 ปีบริบูรณ์ ต่อมาจำเลยที่ 1 โอนย้ายโจทก์ไปทำงานกับจำเลยที่ 2 มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และจำเลยที่ 2 โอนย้ายโจทก์ไปทำงานกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดเกษียณอายุเมื่อครบ 60 ปีบริบูรณ์ ซึ่งการโอนย้ายโจทก์จากการทำงานกับจำเลยที่ 1 ไปทำงานกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 577 แม้จะเป็นเหตุให้สิทธิในการเกษียณอายุของโจทก์ต้องลดลงก็ตาม แต่เมื่อการโอนย้ายดังกล่าวโจทก์ยินยอมพร้อมใจ โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างใหม่ โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 กับนายจ้างใหม่ได้ การที่จำเลยที่ 3 เลิกจ้างโจทก์มิใช่การเลิกจ้างโดยกลั่นแกล้งแต่เป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควรและเพียงพอ มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น