มาจะกล่าวบทไปถึงแม่ม่ายนางหนึ่ง เมื่อสามีตายไปได้ไม่นาน นางต้องมาจัดการกับเรื่องมรดกของสามีนาง แต่เมื่อนางไปใช้สิทธิขอรับมรดกของสามี เจ้าหน้าที่กลับบอกนางว่าสามีของนางนั้นมีภริยาที่จดทะเบียนสมรสอยู่ 2 คน จึงปฏิบัติตามคำขอของนางไม่ได้ นางจึงไปเสาะหาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
จนที่สุดนางจึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสามีของนางนั้นมีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งที่ไม่ได้บอกให้นางรู้ ทั้งยังแต่งงานจดทะเบียนสมรสใหม่โดยที่ยังไม่ได้หย่ากับนางอีก ด้วยความเสียใจมากจนแทบล้มทั้งยืนจนทำให้นาง ได้...ได้...ได้คิดว่า อันตูข้านั้นมาก่อนคนมาหลังจะได้มรดกได้อย่างไร นางจึงนำเรื่องไปพึ่งบารมีศาล เพื่อที่จะใช้กฎหมายนำทรัพย์สินที่ตนมีสิทธิในฐานะทายาทพึงได้กลับคืนเข้ากองมรดก ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางชนะ เพราะการสมรสครั้งหลังเป็นการสมรสซ้อน การสมรสนั้นจึงตกเป็นโมฆะ แต่คู่กรณีของนางไม่ยอมจึงอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืน เรื่องจนมาถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาได้พิจารณาและพิพากษาแล้วได้ความ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 10841/2555 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้พิพากษาว่า การสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการขอเพิกถอนการจดทะเบียนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวกลับคืนเป็นมรดกของ นาย ม.หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้โจทก์มีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอดและเงินช่วยเหลือพิเศษของนาย ม. จากองค์การบริหารสวนจังหวัด*2 เพื่อแบ่งปันแก่ทายาท จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างนาย ม. ผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ตามใบสำคัญการสมรสและทะเบียนการสมรส วันที่ xx/xx/2526 เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452, 1459 ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการร้องขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ถอนชื่อของจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินโดยทางมรดกของ นาย ม. ผู้ตาย แล้วนำกลับเข้ากองมรดกของ นาย ม. ผู้ตายเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาทต่อไป หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า เมื่อปี 2491 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับ นาย ม. ตามสำเนาใบสำคัญการสมรสและสำเนาทะเบียนการสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน หลังจดทะเบียนสมรสแล้ว โจทก์ นาย ม. และบุตรทุกคน ใช้ชื่อสกุลของ นาย ม. ตามสำเนาทะเบียนบ้านและเมื่อปี 2526 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับ นาย ม. ตามสำเนาใบสำคัญการสมรสและสำเนาทะเบียนการสมรส มีบุตรด้วยกัน 7 คนรวมทั้งจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรคนแรก นาย ม. ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดินรวม 2 แปลง ตามสำเนาหนังสืออนุญาต ฯลฯ ต่อมา นาย ม. ถึงแก่ความตายตามสำเนามรณะบัตร หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยื่นคำขอรับมรดกสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวคนละแปลง โจทก์เคยไปยื่นคำขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและเงินช่วยพิเศษของ นาย ม. แต่เจ้าพนักงานไม่สามารถดำเนินการให้ได้เนื่องจากตรวจสอบหลักฐานแล้วปรากฏว่า นาย ม. มีภริยาที่จดทะเบียนสมรส 2 คน ตามสำเนาเอกสารเรื่องขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและเงินช่วยพิเศษ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ และ นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนละคนกันนั้น โจทก์นำสืบว่า เดิม นาย ม. สามีโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่ บ้านเลขที่ xx อำเภอ*1 จังหวัด2* ต่อมามีการแจ้งย้ายไปอยู่ที่ บ้านเลขที่ xx อำเภอ*2 จังหวัด*2 เมื่อวันที่ XX เดือน XX ปี 2544 ตามสำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้แย้งความถูกต้องเของเอกสารดังกล่าวทั้งสำเนาใบแจ้งการย้ายที่อยู่ยังปรากฏลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยที่ 1 ลงไว้ในฐานะเจ้าบ้าน ยินยอมให้ นาย ม.ซึ่งย้ายออกจากบ้านเลขที่ ฯลฯ จังหวัด*1ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ ฯลฯ จังหวัด*2 เมื่อวันที่ xxเดือนxxปี2544 ด้วย ซึ่งปรากฏรายการย้ายข้าวของ นาย ม. มาอยู่ในลำดับที่ 12 ในรายการทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 เช่นกัน ส่วนที่มีบุคคลในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 ในลำดับที่ 1 ชื่อ นาย ม. เช่นเดียวกับในลำดับที่ 12 แต่มีหมายเลขประจำตัวประชาชนต่างกัน ซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาทำนองว่าตามคำเบิกความของ พ. ปลัดอำเภอ*2 พยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สันนิษฐานว่าบุคคลทั้งสองมิใช่บุคคลคนเดียวกันนั้น ก็ปรากฏว่า พ. ปลัดอำเภอ*2 ยังเบิกความต่อไปอีกภายหลังจากการตรวจดูเอกสารต่างๆ แล้วว่าอาจเป็นได้ว่าขณะที่ นาย ม. มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอ1* จังหวัด*1 นาย ม. ยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอ2* จังหวัด*2 อีกแห่งหนึ่ง และในปี 2526 ทางราชการกำหนดหมายเลยประจำตัวให้ประชาชน ทั้ง อำเภอ*1 ของจังหวัด*1 และ อำเภอ*2 ของจังหวัด*2 จึงต่างกำหนดหมายเลขประจำตัวประชาชนให้แก่ นาย ม. ดังนั้นบุคคลในลำดับที่ 1 และที่ 12 ในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 จึงอาจเป็นบุคคลคนเดียวกัน ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไว้ ยังได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นาย ม. บิดาของจำเลยที่สองหรือสามีของจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2544 แม้จำเลยที่ 2 จะพยายามเบิกความบ่ายเบี่ยงว่า นาย ม. บุคคลอันดับที่ 12 ในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 ที่ระบุว่าตายนั้นเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ทราบก็ตามแต่ตามสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งอ่านได้ชัดเจน ปรากฏว่ามีการระบุวันที่แจ้งตายในช่องย้ายออก คือ วันที่ xx/xxx/2544 ตรงกับวันที่แจ้งการตายของ นาย ม. ในสำเนามรณะบัตร ที่จำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านยืนยันไว้ว่า น้องชายของจำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งการตายของบิดาจำเลยที่ 2 ย่อมแสดงว่าบุคคลในลำดับที่ 12 ในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยทั้งสองนั้น คือบิดาของจำเลยที่ 2 หรือสามีของจำเลยที่ 1 นั่นเอง ประกอบกับตามเอกสารดังกล่าวปรากฏว่า นาย ม. บุคคลลำดับที่ 1 ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นคนละคนกับ นาย ม. บุคคลในลำดับที่ 12 เพราะมีหมายเลขประจำตัวประชาชนต่างกันนั้นก็มิได้ถูกระบุว่า ตาย หากเป็นคนละคนกันจริงจำเลยทั้งสองก็น่าจะนำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความยืนยันเช่นนั้นได้แต่จำเลยทั้งสองหาได้นำมาสืบไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏตามสำเนาทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับ นาย ม. ที่จำเลยทั้งสองนำสืบระบุว่า ผู้ตายเกิดวันที่ xx/xx/2549 บิดาชื่อ นาย ล. มารดาชื่อนาง ท. ตรงกันกับวันที่เกิดและชื่อบิดามารดาของ นาย ม. สามีโจทก์ที่ระบุอยู่ในสำเนารายการทะเบียนบ้านด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่า นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ กับ นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกัน การจดทะเบียนสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสมรสซ้อนตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้การสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตกทอดทางมรดกแก่จำเลยทั้งสองตามคำวินิจฉัยและมติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายม.ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 วรรคแรก และไม่มีสิทธิได้รับมรดกของ นาย ม. ตามมาตรา 1499 วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะฟังว่าเป็นบุตรของนาย ม. ที่มีสิทธิได้รับมรดกของ นาย ม. ด้วยก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่า นาย ม. ยังมีทายาทอื่น คือโจทก์และบุตรของโจทก์อีก จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิขอรับมรดกที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และบุตรของโจทก์ด้วย และเมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินการขอรับมรดกสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว โดยอ้างความเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและความเป็นบุตรที่ทายาททุกคนยินยอมแล้วตามลำดับ ตามสำเนาคำขอรับมรดกสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน จนเจ้าพนักงานดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการขอเพิกถอนการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้สิทธิทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกของ นาย ม. ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จนที่สุดนางจึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสามีของนางนั้นมีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งที่ไม่ได้บอกให้นางรู้ ทั้งยังแต่งงานจดทะเบียนสมรสใหม่โดยที่ยังไม่ได้หย่ากับนางอีก ด้วยความเสียใจมากจนแทบล้มทั้งยืนจนทำให้นาง ได้...ได้...ได้คิดว่า อันตูข้านั้นมาก่อนคนมาหลังจะได้มรดกได้อย่างไร นางจึงนำเรื่องไปพึ่งบารมีศาล เพื่อที่จะใช้กฎหมายนำทรัพย์สินที่ตนมีสิทธิในฐานะทายาทพึงได้กลับคืนเข้ากองมรดก ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางชนะ เพราะการสมรสครั้งหลังเป็นการสมรสซ้อน การสมรสนั้นจึงตกเป็นโมฆะ แต่คู่กรณีของนางไม่ยอมจึงอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืน เรื่องจนมาถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาได้พิจารณาและพิพากษาแล้วได้ความ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 10841/2555 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้พิพากษาว่า การสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการขอเพิกถอนการจดทะเบียนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวกลับคืนเป็นมรดกของ นาย ม.หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้โจทก์มีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอดและเงินช่วยเหลือพิเศษของนาย ม. จากองค์การบริหารสวนจังหวัด*2 เพื่อแบ่งปันแก่ทายาท จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างนาย ม. ผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ตามใบสำคัญการสมรสและทะเบียนการสมรส วันที่ xx/xx/2526 เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452, 1459 ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการร้องขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ถอนชื่อของจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินโดยทางมรดกของ นาย ม. ผู้ตาย แล้วนำกลับเข้ากองมรดกของ นาย ม. ผู้ตายเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาทต่อไป หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า เมื่อปี 2491 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับ นาย ม. ตามสำเนาใบสำคัญการสมรสและสำเนาทะเบียนการสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน หลังจดทะเบียนสมรสแล้ว โจทก์ นาย ม. และบุตรทุกคน ใช้ชื่อสกุลของ นาย ม. ตามสำเนาทะเบียนบ้านและเมื่อปี 2526 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับ นาย ม. ตามสำเนาใบสำคัญการสมรสและสำเนาทะเบียนการสมรส มีบุตรด้วยกัน 7 คนรวมทั้งจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรคนแรก นาย ม. ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดินรวม 2 แปลง ตามสำเนาหนังสืออนุญาต ฯลฯ ต่อมา นาย ม. ถึงแก่ความตายตามสำเนามรณะบัตร หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยื่นคำขอรับมรดกสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวคนละแปลง โจทก์เคยไปยื่นคำขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและเงินช่วยพิเศษของ นาย ม. แต่เจ้าพนักงานไม่สามารถดำเนินการให้ได้เนื่องจากตรวจสอบหลักฐานแล้วปรากฏว่า นาย ม. มีภริยาที่จดทะเบียนสมรส 2 คน ตามสำเนาเอกสารเรื่องขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและเงินช่วยพิเศษ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ และ นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนละคนกันนั้น โจทก์นำสืบว่า เดิม นาย ม. สามีโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่ บ้านเลขที่ xx อำเภอ*1 จังหวัด2* ต่อมามีการแจ้งย้ายไปอยู่ที่ บ้านเลขที่ xx อำเภอ*2 จังหวัด*2 เมื่อวันที่ XX เดือน XX ปี 2544 ตามสำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้แย้งความถูกต้องเของเอกสารดังกล่าวทั้งสำเนาใบแจ้งการย้ายที่อยู่ยังปรากฏลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยที่ 1 ลงไว้ในฐานะเจ้าบ้าน ยินยอมให้ นาย ม.ซึ่งย้ายออกจากบ้านเลขที่ ฯลฯ จังหวัด*1ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ ฯลฯ จังหวัด*2 เมื่อวันที่ xxเดือนxxปี2544 ด้วย ซึ่งปรากฏรายการย้ายข้าวของ นาย ม. มาอยู่ในลำดับที่ 12 ในรายการทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 เช่นกัน ส่วนที่มีบุคคลในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 ในลำดับที่ 1 ชื่อ นาย ม. เช่นเดียวกับในลำดับที่ 12 แต่มีหมายเลขประจำตัวประชาชนต่างกัน ซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาทำนองว่าตามคำเบิกความของ พ. ปลัดอำเภอ*2 พยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สันนิษฐานว่าบุคคลทั้งสองมิใช่บุคคลคนเดียวกันนั้น ก็ปรากฏว่า พ. ปลัดอำเภอ*2 ยังเบิกความต่อไปอีกภายหลังจากการตรวจดูเอกสารต่างๆ แล้วว่าอาจเป็นได้ว่าขณะที่ นาย ม. มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอ1* จังหวัด*1 นาย ม. ยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอ2* จังหวัด*2 อีกแห่งหนึ่ง และในปี 2526 ทางราชการกำหนดหมายเลยประจำตัวให้ประชาชน ทั้ง อำเภอ*1 ของจังหวัด*1 และ อำเภอ*2 ของจังหวัด*2 จึงต่างกำหนดหมายเลขประจำตัวประชาชนให้แก่ นาย ม. ดังนั้นบุคคลในลำดับที่ 1 และที่ 12 ในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 จึงอาจเป็นบุคคลคนเดียวกัน ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไว้ ยังได้ความจากจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นาย ม. บิดาของจำเลยที่สองหรือสามีของจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2544 แม้จำเลยที่ 2 จะพยายามเบิกความบ่ายเบี่ยงว่า นาย ม. บุคคลอันดับที่ 12 ในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 ที่ระบุว่าตายนั้นเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ทราบก็ตามแต่ตามสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งอ่านได้ชัดเจน ปรากฏว่ามีการระบุวันที่แจ้งตายในช่องย้ายออก คือ วันที่ xx/xxx/2544 ตรงกับวันที่แจ้งการตายของ นาย ม. ในสำเนามรณะบัตร ที่จำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านยืนยันไว้ว่า น้องชายของจำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งการตายของบิดาจำเลยที่ 2 ย่อมแสดงว่าบุคคลในลำดับที่ 12 ในสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยทั้งสองนั้น คือบิดาของจำเลยที่ 2 หรือสามีของจำเลยที่ 1 นั่นเอง ประกอบกับตามเอกสารดังกล่าวปรากฏว่า นาย ม. บุคคลลำดับที่ 1 ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นคนละคนกับ นาย ม. บุคคลในลำดับที่ 12 เพราะมีหมายเลขประจำตัวประชาชนต่างกันนั้นก็มิได้ถูกระบุว่า ตาย หากเป็นคนละคนกันจริงจำเลยทั้งสองก็น่าจะนำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความยืนยันเช่นนั้นได้แต่จำเลยทั้งสองหาได้นำมาสืบไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏตามสำเนาทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับ นาย ม. ที่จำเลยทั้งสองนำสืบระบุว่า ผู้ตายเกิดวันที่ xx/xx/2549 บิดาชื่อ นาย ล. มารดาชื่อนาง ท. ตรงกันกับวันที่เกิดและชื่อบิดามารดาของ นาย ม. สามีโจทก์ที่ระบุอยู่ในสำเนารายการทะเบียนบ้านด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่า นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ กับ นาย ม. ที่จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกัน การจดทะเบียนสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสมรสซ้อนตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้การสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตกทอดทางมรดกแก่จำเลยทั้งสองตามคำวินิจฉัยและมติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายม.ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1498 วรรคแรก และไม่มีสิทธิได้รับมรดกของ นาย ม. ตามมาตรา 1499 วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะฟังว่าเป็นบุตรของนาย ม. ที่มีสิทธิได้รับมรดกของ นาย ม. ด้วยก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่า นาย ม. ยังมีทายาทอื่น คือโจทก์และบุตรของโจทก์อีก จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิขอรับมรดกที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และบุตรของโจทก์ด้วย และเมื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินการขอรับมรดกสิทธิเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว โดยอ้างความเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและความเป็นบุตรที่ทายาททุกคนยินยอมแล้วตามลำดับ ตามสำเนาคำขอรับมรดกสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน จนเจ้าพนักงานดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการขอเพิกถอนการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้สิทธิทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกของ นาย ม. ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
มาตรา 1498 วรรคหนึ่ง การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา
มาตรา 1499 วรรคสอง การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1452 ไม่ทำให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิที่ได้มา เพราะการสมรสก่อนที่ชายหรือหญิงนั้นรู้ถึงเหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะ แต่การสมรสที่เป็นโมฆะดังกล่าว ไม่ทำให้คู่สมรสเกิดสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งจะเห็นได้ว่าจากฎีกาอันยาวเหยียดนั้นมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอยู่สองประการ ประการแรกนั้นคือ นาย ม. ผู้ที่มีชื่อและนามสกุลเหมือนกันนั้นเป็นคนละคนกันหรือไม่ แต่จากการนำสืบพยานและหลักฐานเอกสารต่างๆได้ความว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน ถึงจำเลยจะให้การบ่ายเบี่ยงก็ตาม เพราะจำเลยหาบุคคลที่อ้างว่าเป็นคนละคนกันมายืนยันไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นการสมรสซ้อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1452 และมาตรา 1495 การจดทะเบียนสมรสระหว่าง นาย ม. กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นโมฆะ
มาตรา 1452 ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้
มาตรา 1495 การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะประเด็นที่สองคือ โจทก์จะขอให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ได้หรือไม่ เมื่อการจดทะเบียนระหว่างนาย ม. และจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะแล้วจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ 2 ก็มิใช่ทายาทที่ได้รับอนุญาตจากทายาททุกคนให้รับมรดกทั้งหมดได้ เพราะนาย ม. ยังมีโจทก์และบุตรของโจทก์เป็นทายาทอีก ดังนั้นการขอให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ที่ดินได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 10841/2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น