18/06/2568

จอดรถโดยวางกุญแจไว้ในรถโดยไม่ล็อคประตู แล้วรถหาย แต่ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถดูแลรถได้ ไม่ใช่การละทิ้งการครอบครองชั่วคราว ไม่ใช่ประมาณเลินเล่ออย่างร้ายแรง ประกันภัยต้องจ่าย

รถยนต์ที่โจทก์เอาประกันภัยสูญหาย โดยจุดจอดรถยนต์ที่เอาประกันภัยอยู่ใกล้ร้านขายแบตเตอรี่และจุดที่จอดติดต่อขอซื้อแบตเตอรี่กับเจ้าของร้าน การติดต่อขอซื้อแบตเตอรี่ใช้เวลาประมาณ 6 นาที เป็นเวลากลางวัน ไม่มีสิ่งใดปิดบังจุดที่จอดรถยนต์ซึ่งอยู่หน้าร้านค้าหรืออาคารที่พักอาศัยของบุคคลอื่นและเยื้องกับร้านขายแบตเตอรี่เล็กน้อย โจทก์จอดรถโดยวางกุญแจไว้ที่เบาะข้างคนขับด้านหน้า ไม่ล็อคประตู แต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่โจทก์สามารถดูแลรักษารถยนต์ของโจทก์ได้ ไม่ใช่การละทิ้งการครอบครองชั่วคราว แม้ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าประมาณเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่เข้าเขายกเว้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 879 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567


12/06/2568

ศาลล้มละลายยกคำขอรับชำระหนี้ไม่ทำให้สิทธิจำนำระงับสิ้นไป

ศาลล้มละลายยกคำขอรับชำระหนี้เพราะเจ้าหนี้ไม่มีพยานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เห็นว่ามูลหนี้ประธานมีเพียงใด ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในหนี้จำนำหุ้นซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุที่ทำให้การจำนำระงับสิ้นไป สิทธิจำนำยังคงมีอยู่ หากเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนำเพียงใด เจ้าหนี้สามารถบังคับจำนำในทางแพ่งต่อไปได้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2567


06/06/2568

ฎีกาไม่ชัดแจ้งเพราะลอกคำอุทธรณ์มา ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาไม่ได้ รับฎีกามาก็ไม่ชอบ

จำเลยฎีกาโดยคัดลอกข้อความมาจากอุทธรณ์ของจำเลยมีการแก้ไขเพียงชื่อศาล แก้ไขเพิ่มเติมข้อความในรายละเอียดบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงเนื้อหาสาระเดิมตามคำอุทธรณ์ทุกประการ โดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบอย่างไร หรือไม่ถูกต้องหรือไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างไร เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 216 วรรคหนึ่ง และมาตรา 225 ไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตามมาตรา 221 แม้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา ก็เป็นการไม่ชอบ


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2567


30/04/2568

สมบัติของผู้สาบสูญ

ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีกลุ่มพี่น้อง-“โจทก์” กับ “จำเลยทั้งสอง”-เกิดเป็นลูกของแม่ที่ชื่อ “มุ่ยเตียง” บ้านนี้มีที่ดินผืนงามแปลงหนึ่ง เป็นเหมือนสมบัติตกทอดของตระกูล

วันหนึ่ง “โจทก์” หายออกจากบ้าน ไม่มีใครรู้ข่าวคราว ไม่มีจดหมาย ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีแม้แต่เงา ผ่านไป 5 ปีเต็มอย่างเงียบงัน แม่มุ่ยเตียงจึงไปศาล ขอให้มีคำสั่ง “โจทก์เป็นคนสาบสูญ” ศาลเห็นว่าไม่มีใครรู้แน่ว่าโจทก์อยู่หรือตาย จึงมีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนสาบสูญ ซึ่งถือว่าโจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 62

โดยผลของคำสั่งศาลและข้อเท็จจริง แม่มุ่ยเตียงในฐานะทายาทโดยธรรมจึงได้รับที่ดินที่เคยเป็นชื่อของโจทก์ผืนนั้นทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1602 ทุกอย่างเป็นไปโดยสุจริต ไม่มีใครคิดจะโกงใคร

หลายปีต่อมา โจทก์กลับมาปรากฏตัว! แม้จะมีชีวิตอยู่ แต่ในชั้นกฎหมาย เขายังถูกถือว่า “ถึงแก่ความตาย” เพราะศาลยังไม่ได้เพิกถอนคำสั่งสาบสูญ โจทก์ร้องขอต่อศาล และในที่สุด ศาลก็เพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 63

เมื่อกลับมาได้รับสิทธิตามกฎหมายอีกครั้ง โจทก์จึงเรียกร้องเอาที่ดินกลับคืนจากจำเลยทั้งสอง ที่เป็นผู้จัดการมรดกของแม่ โจทก์ยื่นฟ้องศาล ขอให้เพิกถอนการโอน และให้เปลี่ยนชื่อเจ้าของที่ดินคืนแก่ตนเอง

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า แม่มุ่ยเตียงและต่อมาก็ตนเอง ครอบครองที่ดินนี้โดยสุจริตมานาน สมควรได้ครอบครองปรปักษ์ แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่กรณีครอบครองปรปักษ์ เพราะที่ดินได้มาด้วยเหตุแห่งมรดกตามกฎหมาย ไม่ใช่การครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

จำเลยที่ 2 ยังอ้างว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะฟ้องเกินเวลาที่กำหนดสำหรับการเรียกทรัพย์คืน (ลาภมิควรได้) ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะที่โจทก์กลับมา เขายังไม่มีสถานะบุคคลในทางกฎหมายจนกว่าคำสั่งเพิกถอนการเป็นคนสาบสูญจะมีผล เมื่อศาลเพิ่งถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 วันนั้นเองโจทก์จึงได้สิทธิและรู้ว่าตนมีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินกลับมา การยื่นฟ้องวันที่ 22 มิถุนายน 2563 จึงไม่ขาดอายุความ

ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ให้คืนที่ดินโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง


ที่มา : คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4656/2566 

ข้อคิดทางกฎหมาย

การสาบสูญ: การเป็นคนสาบสูญตามคำสั่งศาล มีผลในทางกฎหมายเสมือนถึงแก่ความตาย มรดกตกทอดทายาททันที แต่หากคนสาบสูญกลับมา ก็ยังไม่มีสิทธิทางกฎหมายจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ

สิทธิเรียกคืนทรัพย์: อายุความนับตั้งแต่วันที่กลับมาเป็นบุคคลโดยสมบูรณ์ (วันที่ศาลเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ)

การครอบครองปรปักษ์: ใช้ได้เฉพาะทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ใช่กับทรัพย์ที่ได้มาโดยเหตุแห่งมรดกตามกฎหมาย

29/04/2568

เจตนาพิเศษตาม 157 นั้น มุ่งประสงค์ต่อผลโดยตรงให้เกิดขึ้นต้องมีมูลเหตุจูงใจ

องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คือ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นเจตนาพิเศษที่ผู้กระทำมุ่งประสงค์ต่อผลโดยตรงให้เกิดขึ้นจากการกระทำของตน

ตามทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงเพียงว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยระเบียบเท่านั้น แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีมูลเหตุจูงใจกระทำการดังกล่าวไปเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นผู้ใด หรือเพื่อมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ แม้การกระทำของจำเลยจะทำให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน แต่ก็เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากเจตนาธรรมดาของจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษ การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5020/2566


คำร้องขออนุญาตฎีกาต้องระบุว่าขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำร้องขออนุญาตฎีกาไม่ได้ระบุในคำร้องว่าประสงค์ขอให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 221


 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4206/2566


ร้องทุกข์ต้องเป็นการกล่าวหาโดยมีเจตนาให้ได้รับโทษ

การร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องเป็นการแจ้งความในลักษณะของการกล่าวหาโดยมีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีให้ได้ตัวผู้กระทำผิดรับโทษตามกฎหมาย 


เมื่อบันทึกประจำวันรับแจ้งไว้เป็นหลักฐานมีข้อความแสดงชัดว่าในขณะที่แจ้งโจทก์ไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความเองว่าโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเนื่องจากประสงค์จะดำเนินคดีเอง การแจ้งความดังกล่าวจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7)


 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4206/2566