28/08/2568

กิเลสบงการชีวิตเรา

สิ่งที่บงการชีวิตเรา 
ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใครหรอก
แต่เป็นกิเลสที่ห่อหุ้มจิตใจเรานี่แหละ 
ถ้าอยากอิสระ ก็ต้องขจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป

21/08/2568

คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องอาญา เมื่อคดีอาญาข้าราชการไม่ต้องรับผิด คดีแพ่งก็ฟ้องหน่วยงานต้นสังกัดไม่ได้ และแม้จำเลยไม่ได้ให้การ ก็ยกข้อเท็จจริงส่วนอาญายกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้



โจทก์ฟ้อง ธ. ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดจำเลย เป็นคดีอาญา คดีถึงที่สุด โดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ธ. กระทำความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง ซึ่งเป็นการฟ้องโดยอาศัยเหตุเดียวกันกับคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยในมูลละเมิด จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 คำพิพากษาในคดีอาญาผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่ง การที่จะพิจารณาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ในส่วนคดีแพ่ง ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามมาตรา 46 เมื่อคดีส่วนอาญาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ธ. ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ถือว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดตามฟ้องในคดีส่วนแพ่งด้วย โจทย์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของ ธ. ให้รับผิด


คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ให้ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยไม่ได้ให้การ จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง 


 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2567


20/08/2568

ขายทรัพย์ที่ยึดไม่ได้ เพราะมีคำสั่งให้รื้อถอน โดยไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือความไม่สุจริตของเจ้าหนี้ จึงไม่ต้องรับผิดค่าธรรมเนียมบังคับคดี



อาคารที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึด ต้องถูกรื้อถอนไปในระหว่างการบังคับคดีและไม่อาจนำขายทอดตลาดได้ เกิดจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคาร ไม่ใช่ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือความไม่สุจริตของโจทก์ที่โจทก์จะรู้มาก่อนว่าอาคารที่ยึดมีสภาพเป็นอันตรายและสำนักงานเขตมีคำสั่งให้รื้อถอน ทั้งไม่ใช่การถอนบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) (3) (4) (6) และ (7) ที่ผู้ร้องขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีตามมาตรา 169/2 วรรคสี่  จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้ผู้ร้องต้องรับผิดค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2567


19/08/2568

เว็บไซต์และบริการต่าง ๆ สามารถตรวจจับการใช้งาน VPN ของเราได้อย่างไร

เว็บไซต์และบริการต่าง ๆ สามารถตรวจจับการใช้งาน VPN ของเราได้ แม้ว่า VPN จะช่วยในการปกปิดตัวตนได้ แต่ก็มีหลายวิธีที่เว็บไซต์สามารถตรวจจับได้ว่าเรากำลังใช้งาน VPN อยู่




1. ตรวจสอบจาก IP Address:

แม้ว่า VPN จะปกปิด IP Address ที่แท้จริงของเรา แต่ IP Address ของเซิร์ฟเวอร์ VPN นั้นเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป บริษัทต่าง ๆ มักมีรายการ IP Address ที่เชื่อมโยงกับบริการ VPN (blacklist) การเข้าเว็บไซต์ด้วย IP Address เหล่านี้จะทำให้ระบบสามารถระบุได้ทันทีว่ามีการใช้ VPN และการที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากใช้ IP Address เดียวกันพร้อมกันก็เป็นที่น่าสงสัย


2. ข้อมูลจากเบราว์เซอร์:

ข้อมูลบางส่วนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์สามารถเปิดเผยตำแหน่งที่แท้จริงได้

  • การตั้งค่าภาษาและเขตเวลา: หากมีการตั้งค่าเป็นภาษาไทย แต่ IP Address มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่สอดคล้องกัน

  • คุกกี้ (Cookies): ไฟล์ขนาดเล็กที่เว็บไซต์จัดเก็บไว้ อาจมีข้อมูลตำแหน่งที่แท้จริงของเราบันทึกอยู่

  • Browser Fingerprinting: เว็บไซต์สามารถระบุเอกลักษณ์เฉพาะของเบราว์เซอร์ได้จากข้อมูลต่าง ๆ (เช่น รุ่นของเบราว์เซอร์, ส่วนขยายที่ติดตั้ง) ทำให้สามารถติดตามได้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง IP Address

3. การรั่วไหลของข้อมูล:

ในบางกรณี VPN อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหลได้ เช่น:

  • DNS Leak: เมื่อเบราว์เซอร์ส่งคำขอ DNS เพื่อสอบถาม IP Address ของเว็บไซต์ ออกไปนอกอุโมงค์ VPN ทำให้ตำแหน่งที่แท้จริงรั่วไหล

  • WebRTC Leak: เป็นเทคโนโลยีในเบราว์เซอร์ที่อาจทำให้ IP Address ที่แท้จริงหลุดรอดจาก VPN ได้

  • Kill Switch ไม่ทำงาน: หากการเชื่อมต่อ VPN หลุด และระบบตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอัตโนมัติ (Kill Switch) ทำงานผิดพลาด IP Address ที่แท้จริงจะถูกเปิดเผยชั่วขณะ

4. พฤติกรรมการใช้งาน:

เว็บไซต์สามารถสังเกตการณ์จากพฤติกรรมที่ไม่ปกติได้ 

  • ตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: การที่ตำแหน่งการเข้าถึงเปลี่ยนจากประเทศไทยไปยังประเทศอื่นภายในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางกายภาพ

  • ข้อมูลไม่ตรงกัน: การทำรายการด้วยบัตรเครดิตที่ออกในประเทศไทย แต่ดำเนินการจาก IP Address ในประเทศอื่น


ที่มา: https://www.howtogeek.com/this-is-how-they-know-youre-using-a-vpn/

ไม่ต้องฟ้องแพ่งก่อนฟ้องล้มละลาย



แม้โจทก์ฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ ซึ่งการวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ


เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคต พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) ไม่ได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อน ดังนั้น โจทก์ไม่ต้องนำหนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2567


18/08/2568

ช่องโหว่ Claud Code (CVE-2025-55284)

 


พบช่องโหว่ใน Claude Code ซึ่งเป็นเครื่องมือเขียนโค้ดอัตโนมัติ (agentic coding tool) ก่อนเวอร์ชัน 1.0.4  (CVE-2025-55284) ที่มีความรุนแรงสูง (High Severity) 

ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถ หลีกเลี่ยงระบบการยืนยันของผู้ใช้ ใน Claude Code ได้ โดยการใช้คำสั่งที่อยู่ในบัญชีคำสั่งที่ปลอดภัย (allowlist) ซึ่งถูกกำหนดไว้กว้างเกินไป สิ่งนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถ อ่านไฟล์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ และ ส่งเนื้อหาของไฟล์นั้นออกไปนอกเครือข่าย โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้รับแจ้งหรือยืนยันใดๆ

การโจมตีนี้ผู้โจมตีจะ แทรกโค้ดหรือเนื้อหาที่ไม่น่าเชื่อถือ เข้าไปในหน้าต่างบริบท (context window) ของ Claude Code เช่น โจมตีแบบ Prompt Injection ทางอ้อม ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อ Claude Code วิเคราะห์โค้ดที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือประมวลผลข้อมูลจากระบบภายนอก

ผลกระทบ:

ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น API keys หรือข้อมูลอื่นๆ จากเครื่องของนักพัฒนา โดยส่งข้อมูลเหล่านั้นผ่านการร้องขอ DNS (DNS requests) ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ผู้โจมตีควบคุม

การแก้ไข:

ผู้ใช้ Claude Code ที่ใช้การอัปเดตอัตโนมัติจะได้รับแก้ไขนี้โดยอัตโนมัติหลังจากการเปิดตัวแพตช์แล้ว ส่วนเวอร์ชันก่อน 1.0.24 นั้นถูกยกเลิกแล้วและถูกบังคับให้อัปเดต ทำให้ผู้ใช้ปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้

แหล่งที่มาอ้างอิง:

สารภาพ ใช่ว่าผิดเสมอไป ศาลฎีกายกฟ้องได้ แม้จำเลยรับสารภาพ



แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ไม่ได้หมายความว่าศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป เพราะในคดีอาญาไม่ว่าจำเลยจะให้การเช่นใด เป็นเรื่องที่ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความว่า จำเลยได้กระทำความผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176


ปัญหาว่าจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง แม้ไม่ได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยแล้วยกฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง และมาตรา 195 วรรคสอง


 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2567