โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินไปยังจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกว่าเกิดจากการปลอมเอกสารการมอบอำนาจของโจทก์ แต่โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำนิติกรรมโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต การที่โจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้เห็นประเด็นเพื่อนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการโดยไม่สุจริต คดีจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำการโดยไม่สุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
โจทก์ไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินตามฟ้องได้ เนื่องจากบุคคลภายนอกทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน สภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ขายที่ดินโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องสูญเสียที่ดินไป เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
โจทก์มีเพียงคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมโดยไม่ได้มีคำขอให้ใช้ราคาที่ดินให้แก่โจทก์ แต่เมื่อศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมเพื่อให้ที่ดินกลับคืนมาเป็นของโจทก์ได้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่ากับราคาที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ได้ ไม่ถือเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432-433/2567
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น