01/07/2567

คดีแพ่งพิพากษาว่าสิทธิในบ้านเป็นของโจทก์ ข้อเท็จจริงก็ต้องฟังตามคดีแพ่ง แต่ในคดีอาญาจำเลยมีเจตนาบุกรุกบ้านหรือไม่ ต้องวินิจฉัยตามพยานหลักฐานในคดีอาญา

คดีแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุ คำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างอื่นให้แตกต่างไปจากผลคำวินิจฉัยคดีแพ่ง

แต่ในคดีอาญาปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดข้อหาบุกรุกหรือไม่ ศาลยังต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยโดยยังไม่ได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดข้อหาบุกรุกหรือไม่เป็นการไม่ชอบ

ขณะเกิดเหตุจำเลยทราบดีว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุ แต่จำเลยยังเข้าไปในที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุจนถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดข้อหาบุกรุกแล้ว และผลแห่งคำพิพากษาในคดีแพ่งที่วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยเข้าไปตัดแม่กุญแจประตูบ้านอันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์และคดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความจำเลยไม่อาจอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2566

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น