ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๖ บุคคลใดจะแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในการต่างๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายก็ได้
การแสดงเจตนาเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินนั้น เป็นการแสดงเจตนาว่า เมื่อตนตายลงจะให้ทรัพย์สินตกแก่ผู้ใดหรือให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการ ซึ่งจะทำพินัยกรรมได้เฉพาะทรัพย์สินของตนเอง หรือเฉพาะส่วนของตนในกรณีเป็นเจ้าของร่วม หรือเฉพาะสินสมรสในส่วนของตนเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5478/2550
ต. ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนทายาทของ ค. ทุกคนรวมทั้ง ส. มารดาของโจทก์ทั้งสองด้วย ต. ในฐานะทายาทคนหนึ่งของ ค. คงมีฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินย่อมมีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ดินเฉพาะส่วนของ ต. ให้แก่จำเลยทั้งสองได้ ตามาตรา 1361 และมาตรา 1646 แต่ที่ดินส่วนที่ตกเป็นของทายาทอื่นของ ส. ย่อมไม่เป็นทรัพย์มรดกของ ต. ที่จะทำพินัยกรรมยกให้จำเลยทั้งสองได้
การแสดงเจตนาในการต่างๆ ไม่จำต้องมีกฎหมายระบุไว้ หากการนั้นชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินก็มีผลใช้บังคับได้ เช่น การบริจาคศพของตนเพื่อใช้ในการศึกษา การจัดการทำศพ(มาตรา 1649) การตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์(มาตรา 1586) การตั้งผู้ปกครองทรัพย์(มาตรา 1687)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2508
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 นอกจากผู้ตายจะแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินแล้วยังแสดงเจตนาในการต่างๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายก็ได้ คำว่าการต่างๆตามที่กฎหมายบัญญัตินั้น ก็สุดแต่ผู้ตายจะได้แสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในการต่างๆ ไว้ หากชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้จะไม่เกี่ยวกับทรัพย์สิน ก็มีผลบังคับได้ตามพินัยกรรมเมื่อตนตายแล้ว และการต่างๆนั้นมิใช่จะต้องมีกฎหมายระบุไว้ว่าเป็นการใดบ้าง
ผู้ตายได้แสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับศพของผู้ตายโดยอุทิศศพของผู้ตายให้แก่กรมมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์โดยทำถูกต้องตามแบบพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1656 พินัยกรรมของผู้ตายนั้นย่อมสมบูรณ์
พินัยกรรมต้องเป็นคำสั่ง มีการบังคับให้ปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพียงคำร้องขอ คำบอกเล่า คำปรารภ ซึ่งจะเป็นคำสั่งหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และต้องเป็นคำสั่งสุดท้าย กรณีที่ทำพินัยกรรมหลายฉบับที่มีข้อความขัดกัน กฎหมายให้ถือเจตนาครั้งหลังสุด(มาตรา 1697)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๗ การแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายนั้นย่อมทำได้ด้วยคำสั่งครั้งสุดท้ายกำหนดไว้ในพินัยกรรม
พินัยกรรมต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดจึงจะมีผลตามกฎหมาย ถ้าไม่ทำตามแบบพินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ แต่หากตั้งใจทำพินัยกรรมแบบหนึ่งแต่ทำไม่ถูกตามแบบนั้นซึ่งไปถูกต้องตามแบบของพินัยกรรมอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ได้(มาตรา 174)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2499
พินัยกรรมที่ทำเป็นเอกสารลับนั้น ผู้ทำจะต้องนำพินัยกรรมที่ผนึกซองแล้วและพยานไปแสดงต่อกรมการอำเภอ จะให้กรมการอำเภอมาทำนอกที่ว่าการอำเภออย่างพินัยกรรมฝ่ายเมืองดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1659 ไม่ได้
เมื่อพินัยกรรมที่ทำอย่างเอกสารลับจะไม่สมบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ถูกต้องตามแบบพินัยกรรมธรรมดา ตามมาตรา 1656 แล้ว ก็เป็นอันใช้ได้
คำพิพากษาศาลฏีกาที่น่าสนใจ
√ บุคคลสองคนทำพินัยกรรมฉบับเดียวกันยกทรัพย์สินให้กันและกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2537
การที่ผู้ร้องร่วมกับผู้ตายทำพินัยกรรมในฉบับเดียวกันแสดงเจตนาที่จะยกทรัพย์สินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง หากว่าฝ่ายใดถึงแก่ความตายไปก่อน เพียงแต่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ได้ตามพินัยกรรมให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม โดยให้ผู้รับพินัยกรรมกำหนดให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจ กรณีจึงถือได้ว่าเงื่อนไขดังกล่าวนั้นเป็นอันไม่มีเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1707 มิใช่กรณีตามมาตรา1706 (3) ดังนี้ ข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนที่ผู้ตายยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ร้องยังคงสมบูรณ์ใช้บังคับได้หาเป็นโมฆะไม่
พินัยกรรมที่ผู้ร้องกับผู้ตายทำเป็นหนังสือลงวันเดือนปีในขณะที่ทำขึ้นและผู้ทำพินัยกรรมได้ลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนได้ลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมไว้ขณะนั้น จึงเข้าแบบพินัยกรรมตาม ป.พ.พ.มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้ผู้ร้องกับผู้ตายจะทำพินัยกรรมในเอกสารฉบับเดียวกันก็ไม่ผิดแบบแต่อย่างใด และก็มิไช่การพนันขันต่อเพราะเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์มรดกของตนเองหรือในการต่าง ๆ อันจะให้เกิดเป็นผลได้ตามกฎหมายในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646
เมื่อผู้ร้องลงชื่อในฐานะผู้ทำพินัยกรรม มิได้ลงชื่อในฐานะพยานทั้งมิได้มีข้อความระบุว่าเป็นพยานต่อท้ายลายมือชื่อของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1671วรรคหนึ่ง กรณีจึงไม่อาจถือว่าผู้ร้องเป็นพยานในพินัยกรรม ดังนั้น พินัยกรรมหาได้ตกเป็นโมฆะตาม มาตรา 1653 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 1 05 ไม่
แม้ผู้ร้องจะมีอายุมากแล้ว และเคยเข้ารับการรักษาตัวที่โรง-พยาบาล แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมีสติสัมปชัญญะดี มีความรู้สึกผิดชอบ มีความสามารถที่จะดำเนินการทำนิติกรรมใด ๆ ได้ และผู้ร้องก็ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ทั้งผู้ร้องก็เป็นทายาทโดยพินัยกรรมตาม มาตรา 1603 วรรคสาม ได้รับมรดกทั้งหมดของผู้ตาย เท่ากับผู้ตายตัดมิให้ผู้คัดค้านได้รับมรดกของตน แม้ผู้คัดค้านจะมีสิทธิในสินสมรสร่วมกับผู้ตายและเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก็ตาม แต่ผู้คัดค้านไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับชายอื่นขณะที่ยังไม่ขาดจากการสมรสกับผู้ตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่สมควรตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
√ แม้ระบุสถานที่ที่ทำพินัยกรรมผิดจากความจริงก็ไม่ทำให้พินัยกรรมนั้นเสียไป เพราะสถานที่ไม่ใช่สาระสำคัญแห่งแบบในการทำพินัยกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8747/2550
สถานที่ทำพินัยกรรมไม่ใช่ข้อสาระสำคัญของแบบแห่งพินัยกรรมซึ่งจำต้องระบุไว้แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ระบุสถานที่ทำพินัยกรรมผิดจากความเป็นจริงไม่ทำให้พินัยกรรมต้องเสียไปแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น